ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทำดีไม่ใช่กิเลส

๒๘ ม.ค. ๒๕๕๓

 

ทำดีไม่ใช่กิเลส

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่  ๒๘ มกราคม ๒๕๕๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ :     เผื่อถ้าใครถามเนาะ ถ้าใครถาม ใครจุดประเด็นมา มันจะได้ไปได้เลยไง

พระลูกศิษย์ : กราบเรียนพระอาจารย์คืออยากถามว่า จิตนี้ทำงานตลอดใช่ไหมครับ แล้วอย่างคนที่อย่างเส้นเลือดในสมองแตกเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างนี้ล่ะครับ จิตเขาจะยังทำงานอยู่หรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ :     จิตของคนมันเป็นธาตุรู้ ธาตุรู้มันปฏิสนธิจิต ขณะปฏิสนธิจิต เวลามันเกิดเป็นสถานะมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม จิตทำงานตลอดเวลา จิตจะไม่ทำงานต่อเมื่อตาย ฉะนั้น  จิตทำงานตลอดเวลา คนที่เส้นเลือดสมองแตกใช่ไหม คนที่เป็นอัมพฤกษ์อัมพาต จิตก็คือจิต เป็นอัลไซเมอร์เป็นสิ่งอะไรก็แล้วแต่ รับรู้อะไรไม่ได้เลยนะ แต่จิตก็ทำงานของมันอยู่ แต่ประสาทความสัมผัสมันชำรุดเสียหาย

แม้แต่คนนะเวลาเส้นเลือดในสมองแตก รับรู้สิ่งใดไม่ได้เลย ญาติพี่น้องเขาไปพูดที่หู เขารับรู้อะไรไม่ได้นะ ขยับทำตอบสนองไม่ได้แต่น้ำตาไหล เขารู้ตัวนะ เขารู้ตัวตลอดเวลา เส้นเลือดสมองแตกปั๊บเขาเข้าโรงพยาบาลเลย ทีนี้ญาติพี่น้อง ลูกก็รักใช่ไหม ญาติพี่น้องก็ต้องรัก เขาเล่าให้ฟังนะเขาบอกว่า เวลาไปพูดกรอกที่หู พูดที่หูเขานี่แหละ เขาตอบสนองอะไรไม่ได้ แต่น้ำตาเขาไหลตลอดเวลา เพราะคนนะไม่อยากตายหรอก เพราะเรามีห่วงใยอยู่เบื้องหลัง

เรามีห่วงใยอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นความห่วงใยอันนั้นมันจะผูกพันมาก ยิ่งคนมาปลอบประโลมนะ โอ้โฮ น้ำตาไหลพรากเลย เห็นไหมจิตทำงานอยู่ตลอดเวลา แม้แต่เส้นเลือดสมองแตก แม้แต่รับรู้จากอายตนะไม่ได้ แต่จิตทำงานอยู่ตลอดเวลา จิตยังมีอยู่แล้วยังไม่ตาย นี่ไงที่ว่าเวลาคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่ว่ารักษาไม่ได้แล้ว เขาเรียกอะไรนะ จะถอดโปรแกรมรักษาหมดน่ะ เขาเรียกเจตนาอะไรในทางการแพทย์ ตอนนี้กฎหมายกำลังบังคับกันอยู่มากเลย ว่าเป็นการฆาตกรรมหรือเปล่า จิตทำงานอยู่ตลอดเวลาถึงจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว จิตทำงานอยู่ตลอดเวลา

พระลูกศิษย์ : ผมอยากทราบว่าการเอาชนะใจตัวเองครับ อย่างบางอย่างที่ผมอยากจะหยุดๆ อย่างนี้ จะเอาชนะใจตัวเอง ถามว่าพื้นฐานอย่างแรกจะทำอย่างไรได้บ้างครับ

หลวงพ่อ :     การจะเอาชนะใจตัวเองเห็นไหม ธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ไง ธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้าคือการเอาชนะตนเอง การเอาชนะคนอื่น กองทัพชนะคูณด้วยพันด้วยล้าน สร้างเวรสร้างกรรมทั้งหมด แต่การเอาชนะตนเองพระพุทธเจ้าบอกยอดแห่งการเอาชนะ ยอดแห่งสงคราม การเอาชนะตนเอง แล้วการชนะตนเองมันมีหลากหลาย ถ้าพูดถึงเรื่องการชนะตนเองนะ อยากชนะตนเองนะ เอาตัวเองไปผูกไว้กับต้นเสา ผูกไว้โดยที่ไม่ให้มันไปไหนนะ เอาชนะตนเองได้ไหม ไม่ได้!

พระเรานี่ทำไว้มากแล้ว พระเราปฏิบัตินะ ฟังครูบาอาจารย์เทศน์นะ มีพระหลายองค์เลยนะอยากนั่งตลอดรุ่ง ให้พระนี่เอาเชือกมัดไว้กับต้นเสา มัดให้เต็มที่ด้วยความสามารถของพระองค์นั้นเลย แล้วพอพระองค์นั้นมัดเสร็จแล้ว เขาก็กลับไปที่กุฏิไปนั่งภาวนากัน จนตีสอง ตีสาม เป็นห่วงเพื่อนแอบมาดูเพื่อนนะ แอบมาดูเพื่อนเพราะผูกเพื่อนไว้ มาเห็นเพื่อนนั่งสูบบุหรี่ปุ๋ยเลย เขาแกะออกมาได้อย่างไร

นี่ไง การเอาชนะตนเองจากข้างนอก ไม่มีทาง ไม่มีทางหรอก นี้การชนะตนเองเห็นไหม การชนะตนเอง หนึ่ง เริ่มต้นจากมีศรัทธาความเชื่อ ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อ เราศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้าคือวิชาการ คือเทคนิควิธีการที่เริ่มจะเอาชนะตนเอง การเอาชนะตนเองเริ่มต้นตั้งแต่ทาน การเสียสละทานนี่แหละ การเอาชนะตนเอง มีใครบ้างไม่หวงแหนสมบัติของตัว มีใครบ้างไม่หวงแหนสมบัติที่เราหามาด้วยความทุกข์ยาก เราจะหวงแหนไหม ความตระหนี่  กิเลสเป็นเรื่องธรรมดาเลย

แต่การเสียสละออกไปคือการเอาชนะตนเองด้วยวิธีหยาบๆ เห็นไหม วิธีการเสียสละ การเสียสละนี่มันเป็นการเอาชนะตนเอง ด้วยการเริ่มต้น ฝึกหัดเอาชนะตนเอง ด้วยการเสียสละทาน นี่พอเสียสะออกไปเห็นไหม พอเสียสละออกไป เอาเงินล้านหนึ่งมายกให้เราสิ ยอมไหม เอาเงิน เอาเช็คมาเดี๋ยวนี้ เขียนมาเลยล้านหนึ่ง เอามายื่นให้เราเลยนะ ใจยอมไหม ใจไม่ยอมหรอก

 แต่เราได้รับเช็คใบละล้าน ใบละล้าน หลายๆ ล้าน เราได้รับเยอะมากเลย เราได้รับเยอะมาก ทำไมเขาให้เราได้ล่ะ ทำไมเวลาคนเขาจะให้เขาให้ได้ ไอ้เช็คใบละล้าน ใบละสองสามล้าน เราเขียนให้ได้ไหม เนี่ยการชนะตนเอง แต่เป็นอารมณ์ชั่ววูบ ชนะขณะที่มันตระหนี่เห็นไหม พอมันตระหนี่เราก็เสียสละเพื่อจะเอาชนะมัน แล้วเอาชนะตนเองได้หรือยัง มันชนะตนเองได้ชั่วคราวเห็นไหม

การเอาชนะตนเอง เริ่มต้นเราจะบอกว่าการเอาชนะตนเอง มันมีหลายระดับนัก แหม  พอไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้านะ ปล่อยวางสิ ปล่อยวางสิ โธ่ หุ่นยนต์ในโรงงานมันปล่อยวางดีกว่ามึงอีก มันหยิบแล้วปล่อย หยิบแล้วปล่อย แล้วมันได้อะไรล่ะ ปล่อยวาง อย่าไปยึดติดมัน ปล่อยวาง ดีแต่ปาก! จำทฤษฎีมาแล้วก็เอามาโม้! มันเป็นไปไม่ได้หรอก การเอาชนะตนเองเห็นไหม เริ่มจากการเสียสละทาน นี่คือการฝึก

พระพุทธเจ้าวางรากฐานไว้ว่า คนจะฝึกได้เห็นไหม มันก็ต้องฝึกมาตั้งแต่ต้น ถ้าการฝึกได้เห็นไหม ถ้าไม่มีศรัทธาความเชื่อเราจะมาวัดไหม พอมาวัดแล้วมาวัดมาวา เราฟังทฤษฎีทั้งนั้นน่ะ ฟังธรรมะพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้าสอนดีหมด แต่มันตรงกับจริตเราไหม เราเป็นนายพราน เราต้องออกแสวงหาล่าสัตว์ เขาบอกว่าให้ไปทำงานอย่างอื่น มันไม่ตรงกับความพอใจของเรา

นี่ก็เหมือนกันการเอาชนะกิเลส มันมีหลากหลายวิธีการนัก แต่พื้นฐานของมัน คนจะเดินไปไหนได้ คนนั้นต้องมีกำลัง พื้นฐานเริ่มต้นถึงบอกว่าให้ทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ก่อน การทำความสงบของใจเห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา การจะเอาชนะตนเอง ให้ด้วยความราบคาบ มันต้องมีความสงบของใจเข้ามา ความสงบของใจคืออะไร ความสงบของใจคือจุดเริ่มต้นของความคิดทั้งหมด เพราะมันคิดมันถึงฟุ้งซ่าน แต่เราจะเริ่มต้นจะเอาชนะตนเอง เราต้องกลับไปสู่เหตุ ต้นเหตุความคิดทั้งหมดมาจากจิต ต้นเหตุความคิดทั้งหมดมาจากภวาสวะ ความคิดเนี่ยความคิดมันลอยมาจากไหน พวกเรานี่ไม่เห็นใจ ไม่รู้จักใจตนเองไง ไม่รู้จักธรรมชาติ ไม่รู้จักพลังงาน  พลังงานคือธาตุรู้

พุทธะเนี่ย พระพุทธเจ้าสอนถึงพุทธะ พูดถึงรากเหง้าของมนุษย์ พูดถึงรากเหง้าของการเกิดและการตาย พูดถึงตัวจิตไง แต่ก็ปากเปียกปากแฉะน่ะ จิต จิต จิต เคยเห็นหรือเปล่า มันก็ จ.จาน สระอิ ต.เต่า เท่านั้น มันไม่เห็นตัวจริงหรอก มันไม่รู้จักหรอก ความจะรู้จัก เริ่มต้นถ้าคนจะรู้จักจิต รู้จักตัวเราเอง อย่างน้อยต้องทำสมาธิเป็น

ตัวสมาธินี่คือตัวกลับไปสู่ความสงบ ความสงบนั้นเป็นรากฐานแห่งความคิด เพราะมีรากฐานแห่งความคิด มันจึงเกิดความฟุ้งซ่าน เกิดการกระทำของจิต งงไหมว่าการกระทำของจิต จิตโดยแท้ จิตเดิมแท้เป็นพลังงานเฉยๆ พลังงานตัวนี้พลังงานปฏิสนธิจิต จะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นนรกอเวจี ก็จิตตัวนี้ไปเสวยภพ พอจิตตัวนี้ไปเสวยภพเห็นไหม พอเสวยภพมัน มันก็มีสถานะของมัน ที่จิตทำงานนี้ไง

ฉะนั้นเวลาเราอยู่เฉยๆ  โดยธรรมชาติของมัน จิตมีไหม มี! แต่มันไม่แสดงตัวเพราะอะไร เพราะไม่มีความคิดไม่มีความรู้สึก พอมีจิตมีความรู้สึกจิตทำงาน พอจิตทำงานขึ้นมาโดยธรรมชาติของมัน มันก็จะคิดร้อยแปดธรรมชาติของมัน พอคิดร้อยแปดไป คำว่าคิดร้อยแปดเห็นไหม ไอ้บ้าห้าร้อยจำพวก เพราะบ้าอะไรล่ะ มึงบ้าอะไร มึงต้องการอะไร มึงแสวงหา มึงต้องการสิ่งใด มันก็บ้าสิ่งนั้น เนี่ยจิตทำงาน ทำงานโดยจริตนิสัย ทำงานโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม  บ้ารถโบราณเห็นไหม บ้านกเขาเห็นไหม มันก็เข้าชมรมนั้น ชมรมบ้า มึงจะเข้าชมรมใดก็ชมรมบ้านั่นน่ะ ไอ้พวกบ้าด้วยกันมันก็ไปอยู่ชมรมเดียวกัน มันก็เป็นรสนิยมเดียวกัน มันพูดคุยมันก็มีความสนุก จิตก็เหมือนกัน จิตทำงานของมันเห็นไหม พอจิตทำงานของมัน

 เห็นไหม สมาธิ ฐานของความคิด เริ่มต้นเพราะความคิด การกระทำต่างๆ มันมาจากจิตทั้งหมด จิตเดิมแท้ พอจิตเดิมแท้พอมันคิดออกไป เราจะไม่รู้เรื่องนะ พวกเราจะไม่รู้เรื่องเลย ธรรมชาติ เอ้า เราก็ดี ทุกคนก็คิดดี อุ้ย เรายอดเราเยี่ยม เราสุดยอดคนนะ แล้วเอาตัวรอดได้ไหม สุดยอดคนนะมึงจะอยู่ในโลง จะเก่งกล้าสามารถขนาดไหน มึงจะลงโลงหมดน่ะ เดี๋ยวเขาจะเผาทิ้งหมดเลย สุดยอดคนนั่นน่ะ เขาจะเผาทิ้ง เพราะอะไร เพราะแพ้ตัวเองเห็นไหม

พอแพ้ตนเอง เนี่ยจะเอาชนะตนเอง มันก็ต้องทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามานะ ถ้าจิตสงบ นี้มันก็ชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ นั้นการแก้จริตนิสัยเอาชนะตนเองได้ มันอยู่ที่การฝึกฝน เราจะพูดถึงพื้นๆ ก่อน พื้นๆ ถึงชีวิตมนุษย์ สามัญของมนุษย์เห็นไหม เขาก็ดูทางจิตวิทยา เขาบอกว่าสิ่งที่มนุษย์จะเป็นอย่างนี้เพราะสิ่งแวดล้อม สิ่งต่างๆ  มันก็มีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเราฝึกเด็กของเรามายังไง

 สิ่งนั้นมันจะได้จริตนิสัยของมันมา แล้วเขาบอกนะ ทางวิทยาศาสตร์นะ ทางจิตวิทยาเห็นไหม เด็กถ้ามันมีการโดนกระทบมารุนแรง เด็กมันจะมีความอาฆาตมาดร้าย เด็กมันพอโตไปจะเป็นปัญหาสังคม มันก็เป็นส่วนหนึ่ง เราจะบอกว่าเป็นส่วนหนึ่ง ในปัจจุบันการในการกระทบนี่เป็นส่วนหนึ่ง แต่มันก็มีจิตใต้สำนึก คือกรรมเก่า กรรมใหม่ คือปฏิสนธิจิต คือจิตตัวนี้มันมีบุญมีบาปมามากน้อยขนาดไหน

ถ้ามันมีบุญมามากของมันเนี่ย มันวุฒิภาวะของมัน อะไรกระทบมันก็มองเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรื่องโลกธรรม ๘ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าจิตนี้มันอาฆาตมาดร้าย เพราะมันสร้างเวรสร้างกรรมของมันมา อะไรกระทบเล็กกระทบน้อยมันจะสะสมในจิตของมัน แล้วมันจะมีอาฆาตมาดร้ายทำร้ายสังคม เห็นไหมการทำร้ายสังคม มันมีตั้งแต่พื้นฐานของจิตที่มันมาส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งแรงกระทบ แรงกระทบจากตอนเป็นทารกเป็นเด็กมีความฝังใจไว้นี่เป็นส่วนหนึ่ง

จิตวิทยาทางโลก เขาเรียกเรื่องโลกๆ แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าจะอธิบายได้หมดเลยถึงสิ่งที่มาคืออดีตชาติ คือสิ่งที่สะสมมา พันธุกรรมทางจิต จิตได้ตัดแต่งพันธุกรรมของมันมาด้วยบุญด้วยกรรม ตัดแต่งด้วยบุญด้วยกรรม มันก็สะสมกันมา นี่เป็นส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งเป็นปัจจุบันแล้วนี่   ถ้าคนที่ตัดแต่งมาดี เกิดมาบาลานซ์ บาลานซ์คือมันมีบุญ จิตมันจะเบา มันจะบาลานซ์กับจิตพ่อแม่ที่มีบุญกุศล จิตเขาจะเบา พอเบามันก็อยู่ในที่สูง

คนมั่งมีศรีสุข คนที่มีคุณงามความดีมากๆ  ลูกน้อยมาก   เพราะจิตที่ดีๆ มันมีส่วนน้อย ไอ้คนชั้นกลางก็พอสมควรนะ ไอ้คนชั้นต่ำ คนชั้นรากหญ้า โอ้โฮ ลูกเป็นพรวนเลย เพราะการเกิดของจิตมันต้องบาลานซ์ด้วยเวรด้วยกรรม พอมันเกิดขึ้นมาเห็นไหม สิ่งนี้มันถึงว่าเป็นรากฐานส่วนหนึ่ง มาจากพื้นฐานของจิต มาจากพันธุกรรมของมันด้วย มาจากสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่เกิดมากระทบด้วย

มันถึงว่าทางโลกเขาคิดกันได้ขนาดนี้ วิทยาศาสตร์คิดได้แค่นี้ แต่ธรรมะมันจะเห็น พอเห็นปั๊บเราจะบอกว่า แม้แต่เอาชนะได้แล้ว มันก็เป็นการเอาชนะชั่วคราว แล้วโดยปกติสามัญสำนึกของเรา เราก็จะต้องการให้สังคมมันมีความร่มเย็นเป็นสุข มีการเสียสละ มีจิตใจเป็นสาธารณะ ให้คนเรามีจิตใจเป็นกลาง จิตใจเป็นสาธารณะเพื่อเผื่อแผ่

อันนี้คือศีลธรรม จริยธรรม เราก็พยายามจะป้อนเข้าไป คือพยายามเปลี่ยนโปรแกรมให้คนคิดได้ดีๆ  มันก็ชนะส่วนหนึ่ง ของพวกนี้ชนะได้ชั่วคราวทั้งหมด จนกว่าจิตเรา ถ้าเราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นในธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา มันจะเห็นเลยนะว่า ถ้าเราเอาชนะตนเองได้   โดยอจลศรัทธาเห็นไหม  เขาเรียกว่าปุถุชน   กัลยาณปุถุชน

ปุถุชนคือคนหนาด้วยกิเลส มีอะไรกระทบนิดกระทบหน่อย มันไปตามอารมณ์ทั้งหมด แต่เราเห็นโทษของมันปั๊บนี่เราเรียกกัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนมันเห็นรูป รส กลิ่น เสียงเป็นบ่วงของมาร เป็นพวงดอกไม้แห่งมาร สิ่งกระทบกับเราก็มี รูป รส กลิ่น เสียง         รูป รส กลิ่น เสียง เป็นตัวกระตุ้นให้จิตนี้ออกทำงานๆ แล้วตัวกระตุ้นกระตุ้นโดยกิเลสเราก็จะไปได้ไกล แต่กระตุ้นโดยบวก โดยบุญกุศลเห็นไหม มันก็ไม่ค่อยอยากรับ รับแล้วมันก็จืดชืด

สิ่งนี้ถ้าเรามีสติปัญญา ทำความสงบของใจเข้ามาบ่อยครั้งเข้า เห็นจิตสงบบ่อยครั้งเข้า จากที่เป็นการชั่วครั้งชั่วคราว จนถึงที่สุดมันตัดได้เลยรูป รส กลิ่น เสียง เป็นบ่วงของมารเป็นพวงดอกไม้แห่งมาร     รูป รส กลิ่น เสียงก็เก้อๆ เขินๆ จิตนี้มันจะควบคุมได้ง่าย นี่เขาเรียกว่ากัลยาณปุถุชน คือคนทำสมาธิได้ง่าย คำว่าทำสมาธิได้ง่ายหมายถึง ตัวจิตนี่มันควบคุมได้เห็นไหม ควบคุมได้ส่วนหนึ่ง เอาชนะตนเองได้ส่วนหนึ่ง

แต่เอาชนะตนเองได้ด้วยสมถะ ทำได้ด้วยสมาธิ แล้วตอนนี้มันก็เป็นขั้นตอนแล้ว ถ้าพูดถึงออกรู้ได้ มีครูบาอาจารย์ชักนำได้ มันจะออกเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล มันจะชนะอารมณ์ตนเองได้มากขึ้นๆ อนาคามรรค อนาคาผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่คือการชนะตนเองโดยสมบรูณ์             แล้วมีอะไรต่อ

พระลูกศิษย์ : งั้นผมก็คิดว่า ขั้นแรกให้ผมคิดถึงโทษของมันก่อนใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ :     ว่าอย่างไรนะ

พระลูกศิษย์ : อย่างเวลาผมจะเลิกทำอะไรที่ไม่ดีอย่างนี้นะครับ ผมก็ให้คิดถึงโทษของมันก่อนจะง่ายกว่าใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ :     ใช้ได้ อันนี้เห็นไหม เราคิดว่าเห็นโทษใช่ไหม สมมุติเราคิดอะไรสิ่งที่ไม่ดี เราแพ้ตัวเองใช่ไหม พอเราแพ้ตัวเองนะ   การทำความสงบของใจเอาชนะตนเองมันมี ๒ วิธีในการกระทำ เขาเรียกสมาธิอบรมปัญญาหรือปัญญาอบรมสมาธิ ถ้าเรามีความศรัทธา เรามีความเชื่อนะ เราจะเอาชนะตนเองด้วยพุทโธๆๆ พุทโธคือบังคับให้ความคิดเราไม่คิดนอกเรื่อง คิดเฉพาะส่วนเดียว พอคิดเฉพาะส่วนเดียวนี่มันจะทำให้จิตของเราเป็นเอกภาพ    เอกภาพแล้วมันสร้างตัวมันเองได้เนี่ย มันจะไม่ออกไปยุ่งเรื่องข้างนอก

กับอย่างที่พูดเมื่อกี้นี้เห็นไหม ถ้าเราคิดสิ่งใด เราจะทำสิ่งใด เราคิดเห็นโทษของมัน เนี่ย ปัญญาอบรมสมาธิ เพราะอะไร เพราะเรามีสติ พอเรามีสติว่าความคิดอย่างนี้ให้โทษกับเรา ความคิดนี่ไงธรรมของพระพุทธเจ้านะ เบียดเบียนตนแล้วเบียดเบียนผู้อื่น ความคิดที่เป็นโทษ พอเราคิดเราก็รู้ว่าเป็นโทษ มันไม่ดีเลย แต่เราก็คิด มันเผาเราแล้วทีหนึ่ง คิดอาฆาตแค้น คิดจะทำลายใคร ความคิดนั้นไม่ดีเลย มันเผาเราแล้ว

 ถ้าเรามีสติปัญญานี่เรายับยั้งมันได้ ถ้าเราไม่มีสติปัญญา มันเผาเราแล้วนะ แล้วเราก็จะไปทำลายคนอื่นเห็นไหม ถ้าเรามีปัญญาอย่างนี้ เขาเรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ มีปัญญาเกิดแล้ว ปัญญาอบรมสมาธิคือปัญญาเอาชนะ คำว่า ปัญญาอบรมสมาธิ ผลของมันคือรูป รส กลิ่น เสียง นั่นแหละ ถ้ามีปัญญาไล่เข้ามาอย่างนี้ นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ได้! ถูกต้อง!      เอ้าต่อไป

พระลูกศิษย์ : ถ้าจิตเป็นแค่กลุ่มก้อนของพลังงาน  งั้นก็แสดงว่า เรื่องของความทรงจำคืออยู่ในของกายเนื้อใช่ไหมครับ ถ้างั้นวิญญาณก็ไม่มีจริงใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ :     ค่อยๆ นะ ตอบทีละประเด็นนะ ถ้าจิตคือพลังงานที่เป็นกลุ่มก้อนนะ พูดถึงจิตเป็นพลังงานที่เป็นกลุ่มก้อน มันถึงไม่มีจริงหรือ ความหมายพูดใหม่อีกทีหนึ่ง ว่าใหม่ช้าๆ

พระลูกศิษย์ : ก็เป็นตัวพลังงานใช่ไหม

หลวงพ่อ :     ใช่ๆ

พระลูกศิษย์ : ครับ ทีนี้แสดงว่าอย่างความทรงจำของตอนมีชีวิตอยู่ อะไรอย่างนี้ก็จะแยกออกจากตัวจิต ตัวพลังงานนั้น คืออยู่แค่ในกายเนื้อนี่ เพราะฉะนั้นวิญญาณนี่ไม่มีจริงใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ :     ไม่ใช่! จิตเป็นพลังงานกลุ่มก้อน ตัวจิตนั้นน่ะคือตัววิญญาณ ปฏิสนธิวิญญาณ ฉะนั้นตัววิญญาณมีจริง วิญญาณนี้มีจริง แล้วคำว่าวิญญาณเห็นไหม  จิต จิตนั้นนี่พูดถึงจิต จิตคือพลังงาน พลังงานตัวนี้เขาเรียกว่าปฏิสนธิจิต พลังงานนี้ละเอียดมาก พอพลังงานละเอียดมากเนี่ยการแสดงออกของสถานะเห็นไหม มันก็เป็นแบบสิ่งที่กระทบ คำว่าวิญญาณ   เราจะบอกว่าในขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

วิญญาณนี้ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นภูตผีปีศาจนะ วิญญาณนี้เป็นศัพท์บาลี วิญญาณคือวิญญาณรับรู้ เห็นไหม แต่นี้เราจะบอกจิตที่ละเอียดนี่นะ มันมีอวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง วิญญาณอันละเอียด วิญญาณมันละเอียดเป็นชั้นๆ เข้าไปนะ นี้พูดถึงเรื่องอริยสัจ แต่นี้ท่านถามว่าวิญญาณมีไหม วิญญาณนั้นหมายถึงว่าวิญญาณคือภูตผีปีศาจ หรือวิญญาณอะไร

พระลูกศิษย์ : ภูตผีปีศาจครับ วิญญาณแบบคนตาย

หลวงพ่อ :     ใช่ มี อันนั้นก็มีอีกอันหนึ่ง อันนี้ก็เป็นภพ วิญญาณอย่างนั้นน่ะ วิญญาณอย่างนั้นเป็นภพ  คนตายไปแล้วนะ จิตนี้ไม่เคยตาย อย่างขณะที่ว่าจิตนี้ไม่เคยตาย ขณะที่เส้นเลือดสมองแตกทั้งหมด จิตยังมีอยู่ จิตยังทำงานอยู่ จิตไม่เคยตาย แต่เวลาจิตตาย คือว่าเวลาคนตายนะไม่ใช่จิตตาย จิตไม่เคยตาย จิตตายได้อย่างไร ทีนี้จิตไม่เคยตาย

จิตไม่เคยตายแต่สถานะของมนุษย์เนี่ยตาย เพราะมนุษย์อายุขัยของมนุษย์ตาย ตายแล้วจิตไปไหน นั่น จิตเป็นกลุ่มก้อนนะ คำว่ากลุ่มก้อน เราจะพูดถึงเรื่องอริยสัจไง คำว่ากลุ่มก้อนมันหมายถึง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันเหมือนทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์นี่ การอริยสัจนี่ เราจะทำอย่างไรขบวนการของมันน่ะ ขบวนการของอริยสัจใครเห็นได้อย่างไร ใครรู้ได้อย่างไร นี้คือขบวนอริยสัจคือธรรมะในปัจจุบัน คือธรรมะภาคปฏิบัติ

แต่ทีนี้พอพูดถึงเรื่องภพชาติ เห็นไหมเรื่องภพชาติ เรื่องการเกิดและการตาย พอพูดถึงเรื่องภพชาติการเกิดและการตายนี่ วิญญาณมีไหม ก็ไอ้ผีตัวนี้ตัวแรก เวลาไปไหนกลัวผี กลัวผีนะ แล้วไอ้ผีมึงน่ะไม่กลัวเหรอมึงก็ผีตัวหนึ่ง  แต่ผีที่เป็นมนุษย์ไง ความรู้สึกไอ้ผีมันอยู่ในมนุษย์มึงน่ะ มันอยู่มึงน่ะ มึงน่ะผี ผีตัวแรก ผีบ้าน ผีเรือน ผีป่า อันนี้วิญญาณมีจริง มีจริง!!    ถ้าวิญญาณไม่มีจริงนะ ถ้าเป็นพลังงานกลุ่มก้อนนะ

พระโพธิสัตว์ทำบุญกุศลของพระโพธิสัตว์สืบต่อมาได้อย่างไร แล้วปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์เป็นพุทธภูมิเห็นไหม ต้องสร้างมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มีไหม   มี  แล้วถ้าการสร้างเนี่ย เมื่อกี้ที่พูดว่าพันธุกรรมทางจิตไง พอพระพุทธเจ้าอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ พระนางพิมพาอธิษฐานเป็นคู่ร่วมมา ๔ อสงไขย เกิดตายๆ   ๔ อสงไขย คือการเกิดการตายที่นับไม่ได้ ๔ ครั้งนะ มันก็แบบว่าเป็นล้านๆๆๆ นับไม่ได้ถึง ๔ หน พอนับไม่ได้ถึง ๔ หนปั๊บ

การทำความดีนี่พันธุกรรมของมัน การตัดแต่งพันธุกรรม จิตมันจะเกิดตายๆ นี่  เกิดมาชาตินี้ทำความดีเราก็ได้บุญกุศลนะ  มันคิดปรารถนาสิ่งที่ดี  พอปรารถนาสิ่งที่ดี มนุษย์เกิดเป็นมนุษย์ต่อไป มนุษย์เกิดมามนุษย์ก็สร้างคุณงามความดีต่อไป การเกิดเป็นมนุษย์สถานะของมนุษย์เนี่ยที่คนเกิดมามีอำนาจ มีบารมีธรรมเห็นไหม คนที่จะเชื่อถือศรัทธา บางคนเกิดมามนุษย์ด้วยกันนะ ไม่มีใครนับหน้าถือตาเลย เห็นไหม

อันนี้มันเกิดจากพันธุกรรมทางจิต เพราะพลังงานอันหนึ่ง แต่เกิดในภพชาติหนึ่ง จำเมื่อวานนี้ได้ไหม ยกตัวอย่าง  จำเมื่อวานนี้ได้ไหม นี่คือสัญญา จำเมื่อวานนี้น่ะได้ จำชาติที่แล้วได้ไหม ไม่ได้ แต่จำเมื่อวานนี้ได้ จำขณะที่ผ่านมาที่วัดเทพศิรินทร์นั้นได้ ออกจากวัดมาจำได้เลยออกมาประตูไหน เอ็งจำได้หมดล่ะ นี่คือสัญญา นี่คือสภาวะจำในสภาวะของมนุษย์ มนุษย์ถ้าคนมีความจำดี จำได้ตั้งแต่เด็กได้ พอจำอันนี้ตั้งแต่เป็นเด็กได้

นี่คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สถานะของมนุษย์มีอย่างนี้ ในปัจจยาการเห็นไหม อวิชชา ปัจจยา สังขารา สังขารา ปัจจยา วิญญาณัง มันปัจจยาการอันนี้ มันเป็นตัวจิตเห็นไหม พอตัวจิตมาเกิดกับเรานี่ เราจะบอกว่าจิตของเรานี่มันเหมือนส้ม ส้มมันมีส้มกับเปลือกส้ม หยิบส้มขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ต้องหยิบมาทั้งเปลือกส้มขึ้นมาด้วย  ถ้าเปลือกส้มแต่เราไม่ต้องการเปลือกส้ม เราต้องการส้ม แต่หยิบขึ้นมาก็ต้องมีเปลือกส้ม

ในสถานะของมนุษย์มันมีขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มันคลุมจิตอยู่ ขันธ์ ๕ พอคลุมจิตอยู่ความคิดของเรา ความคิดสามัญสำนึก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือสามัญสำนึกคือโลกียปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากสังขาร เกิดจากความคิด ความปรุง ความแต่ง ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากพลังงานของตัวจิตที่ละเอียดเห็นไหม ฉะนั้นเราจำเมื่อวานได้ เราจำสิ่งต่างๆ ได้ จำสถานะของเปลือกนี่ได้ แต่เปลือกนี่เวลามันจะตายเห็นไหม คนเราเวลาจะตายนะ พอจิตมันออกจากร่างไป จิตออกจากร่างไปเห็นไหม เราได้สถานะของมนุษย์ มันมีเปลือกใช่ไหม เวลาจิตออกจากร่างไป มันเป็นปฏิสนธิจิต

ปฏิสนธิจิต มันได้ซับชีวิตหนึ่งที่ทำดีและทำชั่วลงไปในจิตตัวนี้ ลงไปในจิตตัวนี้ จิตตัวนี้ก็ต้องไปเกิดในสถานะต่อไปๆ แต่สิ่งที่ซับอยู่มันมีคุณภาพ มันมีสิ่งที่ดีงาม มันเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ในความประพฤติของคนมันมีดีและชั่วด้วย มันก็ลงนรกอเวจีไป ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บเขาบอกนี่เป็นพราหมณ์ นี่เป็นฮินดู จิตมันคงที่ ไม่ใช่!!! จิตคงที่ของพราหมณ์ ของฮินดูของเขาเนี่ย เขาบอกเขาอยู่สถานะอาตมันคือมันคงที่ตายตัว   คงที่ตายตัวคือสิ่งที่ทำแล้วคงที่ตายตัวใช่ไหม คงที่ตายตัวทุกสิ่งสรรพสัตว์ จิตทุกจิตไม่มีอิสรภาพ ต้องไปอยู่กับอาตมัน ต้องไปอยู่กับพระเจ้า

แต่อันนี้มันมีของมันโดยธรรมชาติของมัน แต่เป็นสันตติคือมันเปลี่ยนแปลงโดยพฤติกรรมของมันเอง พระพุทธเจ้าถึงปฏิเสธเทพทั้งหมด ปฏิเสธการพึ่งพาอาศัยจากข้างนอกทั้งหมด พระพุทธเจ้าต้องการพึ่งตัวเอง แล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ก็พึ่งตัวเองโดยใช้อริยสัจที่พึ่งตนเอง พระพุทธเจ้าถึงเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า ถึงได้สอนพวกเรา

ทีนี้สอนพวกเราถ้าคนไปเห็นจริงรู้จริง ไอ้ตรงนี้มันเป็นสิ่งที่ละเอียดใกล้เคียงกัน แล้วผู้ที่อธิบายหรือผู้ที่แยกแยะ มันจะแยกแยะได้ อย่างที่พูดเมื่อกี้ที่ว่าการชนะตนเองนั่นน่ะ การชนะตนเอง โอ้โฮ มันมีหลากหลายมากเลย มันตั้งแต่พื้นๆ ขึ้นมาจนถึงที่สุดชนะ ชนะชั่วคราว ชนะมาเล็กมาน้อย เอาชนะจนตัวเองควบคุมจิตได้ นี่แค่กัลยาณปุถุชนนะ แล้วพอมันเริ่มแก้ไขได้ มันเริ่มปอกเปลือกตรงนี้ไง คำว่าปอกเปลือกเพราะอะไร เพราะพระโสดาบัน จิตนี้มันไม่มีที่สิ้นสุดนะ มันแบบว่าขบวนการอันนี้ไม่มีวันจบ จิตนี่จะไปของมันไม่มีวันจบ ตามแต่สภาวะในวัฏฏะเห็นไหม

พวกเราชีวิตนี่เป็นผลของวัฏฏะคือผลของการแสดงออกของจิตที่มันตกในสภาวะแบบนี้ วัฏฏะมันก็เหมือนกับวังวน แล้วเราจะไปตกที่วังวนตรงไหน มันหมุนอยู่อย่างนี้ กามภพ รูปภพ อรูปภพอยู่อย่างนี้ มันหมุนของมันไปเรื่อยๆ นี้ถ้าพูดถึงเราพิจารณาของเรา มีหลักเกณฑ์เอาชนะตนเองได้ในขั้นของพระโสดาบัน มันเกิดอย่างมากอีก ๗ ชาติ คำว่าวังวนที่ไม่มีขอบเขต ไม่มีวันที่สิ้นสุด กับถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วอีก ๗ ชาติ มันต่างกันแล้วเห็นไหม

จิตนี่ต่างกันแล้ว มันต่างกันเพราะเหตุใด มันต้องมีเหตุมีผลของมัน มันถึงต่างกันได้ ถ้าไม่มีเหตุผลของมัน เราไม่มีสิทธิที่จะบังคับ เราไม่มีสิทธิที่จะปรารถนา เราไม่มีสิทธิที่จะบัญชาการให้มันเป็นอย่างนั้นได้ แต่เรามีสิทธิในการประพฤติปฏิบัติให้มันซักฟอกของมันได้ ถ้าซักฟอกของมันได้ มันต่างกันอยู่นี่ คือว่าเราจะบอกว่าจิตมันมีของมัน เอาชนะตนเองโดยมรรคญาณของพระพุทธเจ้า มันเป็นการชนะโดยอริยสัจ ชนะโดยการปัจจุบัน

ฉะนั้นมันพูดได้ มันเป็นหลายสถานะไง คำว่าสถานะ จิตวิญญาณมีไหม มี! แล้วจิตวิญญาณเป็นกลุ่มก้อนอย่างนี้หรือ จิตมันเป็นแค่พลังงาน มันเป็นอิสระมาจากไหน พลังงานนั้นน่ะ พลังงานมันย่อยซับนะ ย่อยซับบุญกุศลทุกอย่างลงที่จิต จิตนี้ถึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก แล้วคนที่ไปรู้ไปเห็นมันนะ พระพุทธเจ้านะพอตรัสรู้ขึ้นมานะ ทอดธุระเลยว่าจะสอนใครได้ มันลึกลับมหัศจรรย์ แต่มหัศจรรย์แค่ไหน มหัศจรรย์แค่ไหนคนที่เขาไปรู้เห็นจริง ความมหัศจรรย์นั้นก็เป็นเรื่องปกติจริงไหม ความมหัศจรรย์ขนาดไหนลึกซึ้งขนาดไหน

ผู้ที่จะรับจะผ่านทะลุได้ต้องมีปัญญาเหนือความมหัศจรรย์นั้น ถึงเอาความมหัศจรรย์นั้นอยู่ในขอบข่ายของปัญญาตัวเองได้ ฉะนั้นถึงบอกว่า จิตวิญญาณมีไหม มี!!! แล้วพิสูจน์อย่างไร ก็พิสูจน์ที่ความรู้สึกเรานี่แหละ วิญญาณตัวแรกนั่งอยู่นี่ จะเป็นพระอะไรก็แล้วแต่ เนี่ย มันมีวิญญาณรับรู้อยู่ มันมีจิตอยู่ มันถึงเป็นเรา วิญญาณนี้เคลื่อนออกจากกายนี้ไปแล้ว ไปเกิดในสถานะไหน เป็นสัตว์ก็ไอ้สัตว์ตัวนั้น เป็นเทวดาก็เป็นเทวดาองค์นั้น เป็นพรหมก็เป็นพรหมองค์นั้น จากจิตดวงนี้  เอ้าต่อไป

พระลูกศิษย์ : ผมมีช่วงหนึ่งตอนวัยรุ่นนะครับ หลวงพ่อครับ วัยรุ่นผมก็ทำตัวไม่ดีกับบุพการีต่างๆ ครับ แต่พอมีจังหวะช่วงหนึ่ง พอจังหวะมันคิดได้ครับ มันก็ทำดีครับ แล้วเมื่อไหร่ พอมาถึงวาระสุดท้ายของผม ผมจะสามารถฝึกจิตตัวเองห้าม ก่อนจะเสียชีวิต สามารถฝึกจิตตัวเองไม่ให้คิดแต่เรื่องนั้นๆ คิดแต่เรื่องดีๆ ได้ไหมครับ

หลวงพ่อ :     ในประเพณีของชาวพุทธ เขาบอกคนใกล้ตายให้นึกถึงพุทโธ พุทโธ ให้นึกถึงพระไว้ ให้นึกถึงพระไว้เพราะเหตุใด เพราะว่าเรื่องของศาสนาพุทธ พุทธศาสนามันซับซ้อนมหาศาลเลย ซับซ้อนมหาศาลเพราะมีครูบาอาจารย์มามาก ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติเป็น ท่านปฏิบัติรู้  ท่านถึงว่า มันมีกรรมนิมิตเวลาคนจะตาย สิ่งดีสิ่งเลว มันจะแฉออกมาตามความเป็นจริง

นี่ไงคนดูถูกบุญกุศลไง ว่าบุญกุศล บาปอกุศลไม่มี จะทำชั่ว ไม่มีใครเห็นกูหรอก ตัวเองน่ะรู้ดี นี้พอตัวเองรู้ดีพอถึงเวลาสิ้นสุดเพราะตัวเองต้องเข้าสู่หลักประหาร เข้าสู่แดนประหาร ความดีความชั่วมันจะขึ้นมาเอง ทีนี้ประเพณีของครูบาอาจารย์ชาวพุทธเรานี่ เวลาคนใกล้ตายนี่ให้นึกถึงพระ เพราะสิ่งที่นึกถึงพระนะ จิตนะ เวลาคนจะตาย จิตนี่มันออกจากร่าง เวลาคนจะมาเนี่ยออกจากวัดมาเป็นพระหมดเลย

ถ้าคนเขาออกจากบ้านไปเขาแต่งชุดไหน เขาเป็นข้าราชการเขาแต่งชุดข้าราชการเขาจะเป็นข้าราชการ เขาแต่งชุดลำลองที่เขาจะไปธุระของเขา เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นไปตามทางของเขา จิตออกจากร่าง ถ้ามันคิดถึงบุญกุศลเห็นไหม อาภรณ์ของจิตมันออกมาในสถานะนั้นก่อน แต่เวลาคิดแล้วส่วนใหญ่น่ะ มันทำไม่ได้หรอก มันทำไม่ได้เพราะอะไร มันมีเยอะมาก มันมีเยอะมากเวลาญาตินะเขามาเล่าให้เราฟัง ถ้าคนไหนเคยทำสิ่งใดไว้ เพราะในญาติเขาจะรู้ว่าญาติของเขาทำอะไรไว้ ฉะนั้นพอแก่เฒ่าขึ้นมา เขาพยายามเอาธรรมะนี่ ไปเทศน์ ไปเปิดเทปให้ฟัง  พอแก่แล้ว คนแก่แบบอายุ ๗๐ ๙๐ มันจะแสดงออก

เขาเล่าให้ฟังนะ คนหนึ่งเขาบอกว่า เขาเคยเล่นปลากัดเอย มันมากนะ ถึงเวลาเขาใกล้ตายนะ เขาจะเอามือของเขาทำอย่างนี้ชนกัน เลือดนี้เต็มไปหมดเลย ชนกันอยู่อย่างนี้ ลูกหลานพยายามจะดึงไว้ เขาก็อยู่ได้ พอปล่อยนะก็กลับมาชน ทำอย่างนี้จนเลือดเต็มไปหมดเลย แล้วเขายังไม่ตายนะ เขายังไม่ตาย นี่ไงเราจะบอกว่าเวรกรรมเนี่ยนะ เราบอกว่าไม่มี ไอ้เวรกรรมนี่มันจะอยู่กับคนทำ ไอ้คนทำนี่เป็นคนที่รู้ แล้วสิ่งที่รู้นี่มันจะฝังใจเรา แล้วพอถึงเวลาเราถึงจุดนั้นแล้ว เราจะมีความเสียใจ มันจะมีการแสดงออก

ฉะนั้นสิ่งที่ทำไปแล้ว  ก็คือสิ่งที่ทำไปแล้ว ตอนนี้มันต้องทำความดีแก้ ทำความดีนะ เขาเรียกกรรมนี่เขาเปรียบเหมือนเกลือ เกลือนี่ถ้าอยู่ในภาชนะ ถ้าน้ำมันน้อยรสมันก็เข้มข้น ถ้าเราเติมน้ำมากเกลือก็เจือจาง กรรมดีกับกรรมชั่วลบล้างกันไม่ได้ แต่ถ้าเราทำกรรมดีมากๆ เราก็เติมน้ำมากๆ เกลือนั้นมันก็เจือจางลงเห็นไหม เพราะมีน้ำมาก ปริมาณของน้ำนั้นมาก เราทำคุณงามความดีตอนนี้ถ้าคิดได้นะ พยายามทำคุณงามความดี เพราะสิ่งนั้นก็คือสิ่งนั้นที่ทำมาแล้ว แล้วอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ปู่ย่าตายายอุทิศให้ เราพยายามทำของเราไป เวลาทำของเราไป ถ้าจิตเราได้ยินอยู่นี้ สิ่งใดๆ จะเกิดขึ้นมานะเอาเลย

เราธุดงค์อยู่ในป่านะ เรานี่ไปในป่า ไปกับเพื่อนกันหลายองค์มากเลย บางคนเพื่อนเขาบอกว่า ไอ้หงบมึงกล้าไหม กลัวช้างไหม บอกไม่กลัว ด้วยความท้าทายของวัยรุ่นนะ พอไม่กลัวเราก็นั่งขวางทั้งคืนนะ      นี่พระกันไปหลายองค์ ๗-๘ องค์ไปด้วยกันนะ เขาบอกเขาก็อยู่บนเขาบ้าง อยู่ที่เนินต่างๆ มีพระที่ไปด้วยกัน เขาเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบ แล้วตอนเช้าขึ้นมาเขาบอก เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย เป็นห่วงไอ้หงบมาก กลัวช้างจะเหยียบตาย

แต่เราด้วยประสาวัยรุ่น ด้วยสัจจะพระยังหนุ่มๆ มานั่งขวางเขาเลยนะ เพราะไปด้วยกันมันรู้ มันเป็นทางผ่านนี่ ขี้มันสดๆ เลย เวลามันเดินผ่านนี้เป็นประจำ แล้วเราก็นั่งอย่างนี้หลับตาเลย แต่คิดเอาเอง คิดในหัวใจนี่ ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน เชิญตามสบาย ถ้าไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน จะไม่มีปัญหา เรานั่งอยู่อย่างนั้นนะ ถ้าเป็นคนอื่นไม่กล้าทำ แต่ด้วยสัจจะเห็นไหม ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกัน เรายอมรับเวรรับกรรม แต่ถ้ามันมีเวรมีกรรมต่อกัน มันจะเจอสิ่งใดไม่ได้ แล้วเรายืนอยู่ตรงในป่า แล้วศีลของเราไม่บกพร่อง ในเมื่อเราเชื่อมั่นว่าเราไม่มีสิ่งใด เราเผชิญได้ทุกอย่างเลย ทีนี้ถ้าเราไม่มีความเชื่อมั่นปั๊บ ในหัวใจของเรามันมีอย่างนั้น มันต้องแก้ไขอย่างนี้

สิ่งใดที่มันผิดพลาดมาแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมวินัยเห็นไหม สิ่งใดทำแล้วเสียใจภายหลังร้องไห้ สิ่งนั้นไม่ดีเลย แต่เวลาที่มันจะทำมันยับยั้งไม่ได้นะ โทษนะ คนกิเลสหนา นี้พอกิเลสหนามันก็เปลี่ยนแปลงได้เห็นไหม พระพุทธเจ้าสอนว่าเราเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้เรารู้สึกตัวแล้ว องคุลิมาลฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ ทำไมเป็นพระอรหันต์ได้ล่ะ องคุลิมาลนี่ฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ พูดถึงเทวทัต ด้วยกิเลสของตัว ด้วยความอยากปกครองสงฆ์ ด้วยความอยากใหญ่แต่เทวทัตก็สำนึกตนได้นะ จะมาขอขมาพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกัน

ไอ้นี่เหมือนกันถ้าเราทำของเราได้ โทษนะ ฆ่าคนไม่เกิน ๙๙๙ ศพหรอก องคุลิมาลทำได้มากกว่าเยอะเลย ทำไมองคุลิมาลท่านพลิกกลับตัวได้ล่ะ เห็นไหมถ้าคิดอย่างนี้เรามีกำลังใจได้ไหม องคุลิมาลฆ่าคนมา ๑,๐๐๐ ขาดอยู่คนเดียว ทำไมองคุลิมาลสำเร็จพระอรหันต์ได้ ถ้าเราคิดอย่างนี้ได้ สิ่งที่ทำมานะเป็นของเล็กน้อย แต่ของเล็กน้อยแล้วอย่าไปทำมันอีก ถ้าของเล็กน้อยแล้วก็จะทำอีกใช่ไหม แต่ถ้าคนไม่มีกำลังใจต้องคิดอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีหลากหลายมาก แล้วใครจะเอามาเป็นประโยชน์กับเรา คิดในเชิงบวก คิดในเชิงบวกว่ามันเป็นคติธรรม แล้วเราจะแก้ไขเราอย่างใด คนที่ผิดมามากกว่าเรา องคุลิมาลทำผิดมาขนาดว่าฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ เขาทำผิดพลาดมาขนาดนั้นเขายังกลับตัวได้ แล้วเราทำผิดพลาดมาขนาดนี้ ทำไมเราจะกลับตัวไม่ได้

ถ้าเรากลับตัวได้นะ มีสิ่งเร้านะ กลับตัวได้ สติดีก็ไม่เอาจะไม่ทำ พอไปเจอสิ่งแวดล้อม อื้อ เอาหน่อยน่า ไม่ควรทำสิ่งใดเลย ทำสิ่งใดแล้วเสียใจภายหลัง สิ่งนั้นไม่ดีเลย สติถึงสำคัญมาก มีสติสัมปชัญญะแล้วรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดที่ไม่ควรทำอย่าไปทำมัน สติทันอย่างนี้ เราจะทำคุณงามความดี พระพุทธเจ้าสอนแล้วให้ทำคุณงามความดี ใครจะรู้ไม่รู้ช่างหัวมัน ทำคุณงามความดีเพื่อความดี ไม่ใช่ทำคุณงามความดีให้คนยอมรับว่าเราทำคุณงามความดี คนจะยอมรับเราเนี่ยไม่มีทาง เพราะธรรมดาของมนุษย์ มนุษย์จะยอมรับกันได้ยากมาก แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีนี่ลับหลังเขาบอกคนนี้น่ะดี แต่ต่อหน้าเขาก็ไม่กล้าพูด แต่เพราะสิ่งนั้นพอลับหลังเขาว่าเราดี เราดี นี่คือบารมีธรรม

กลิ่นของศีลหอมทวนลม เพราะปากของเขาว่าเราดี ปากของเขาว่าเราดี แต่ในใจของเรานี่ ใจของเขา เขาจะรู้เลยว่าดีหรือไม่ดี เพื่อนฝูง คนอยู่ในครอบครัวเดียวกัน จะรู้เลยว่าคนๆ นั้นนิสัยเป็นอย่างใด ศีลจะรู้ได้ต่อเมื่ออยู่กันนานๆ ธรรมะจะรู้ได้ต่อเมื่อพูดออกมา ปัญญาของคนจะรู้ได้เวลาการแสดงออก ว่าคนนี้มีปัญญาหรือไม่มีปัญญา ถ้ามีปัญญา ถ้าเขามีปัญญาเขาแสดงออกมาด้วยสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นของตื้นๆ แต่ถ้าเขามีปัญญา เขาจะพูดสิ่งที่เราคาดคิดไม่ถึงเลย นี่คนที่มีปัญญา คนที่มีปัญญาอยู่ที่การแสดงออก ศีลอยู่ที่ปกติของใจ ที่เรารักษาตัวของเราได้ คนอยู่ด้วยกันจะรักษาสิ่งนี้ได้

ฉะนั้นสิ่งที่ทำมาแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอดีต อนาคต พระพุทธเจ้าสอนปัจจุบันนี้ องคุลิมาลพระพุทธเจ้ายังไปเอาคืนมา เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นผู้ปฏิบัติ ถ้าเรารู้สำนึกตัวแล้วพยายามหักห้ามใจ กิเสสมันไม่มีเหตุผลกับใคร ธรรมะคือเหตุและผล รวมตัวลงแล้วเป็นธรรม เหตุกับผลสรุปแล้วเป็นธรรม กิเสสไม่มีเหตุผลเลย อยากทำ อยากเป็น แล้วไม่มีเหตุผลรองรับนะ มันอยากเท่านั้น แล้วมันก็จูงจมูกไปแล้ว มันไม่มีเหตุมีผล กิเสสไม่มีเหตุผล ไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรไปแสดงว่ากิเสสมาจากไหน มีแต่เหตุผลของธรรมต่อสู้กับกิเสสอย่างที่ว่านี่ เวลามันมีความคิดขึ้นมาหาเหตุหาผล เอาชนะมัน ถ้าเหตุผลมีเราเอาชนะสักหนหนึ่งนะ มันจะชนะไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเหตุผลเราไม่พอ แพ้มันนะ มันกระทืบ กระทืบคือว่ามันจะทำแล้วทำเล่า

แต่ถ้าเหตุผลชนะแล้วนะ คราวหน้าหนึ่งกูเคยชนะเอ็ง มาอีกกูก็คิดอีก กูจะสู้อีก มาอีกกูจะคิดอีก สู้มัน สู้มันแต่เหนื่อยมาก พลังงานนี้ใช้เหนื่อยมาก ปัญญาการใช้หอบเลยนะ บางทีความคิดมันเร็วมาก ความคิดเนี่ย เพราะปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญานี่เราเข้าใจ คนภาวนานี่เหนื่อยหอบเลยนะเวลาออกใช้ปัญญาน่ะ คนนั้นว่า โอ๋ย พระนี่ไม่ทำอะไรเลยนะ เห็นเดินไปก็เดินมา นั่งเฉยๆ  เอ็งลองมานั่งดูบ้างซี่ งานเอาชนะตนเองเนี่ย โอ๋ย พระไม่เห็นทำอะไรเลย เห็นนั่งเฉยๆ เวลาทำงานก็ว่าเหนื่อย เวลาให้นั่งมันก็ไม่ยอมนั่ง นั่งเฉยๆ  พลังงานอันนี้สำคัญมาก ความคิด สิ่งที่เคลื่อนที่เร็วที่สุดคือความคิด เร็วกว่าแสง เอ็งคิดรอบโลกนี่ได้สองรอบสามรอบ นั่งอยู่แป๊บๆๆๆๆ เลย แสงไปไม่ทันความคิดนะ แล้วสิ่งที่เคลื่อนที่ที่เร็วที่สุด ให้มันนิ่งที่สุด พลังงานนั้นจะมีมากขนาดไหน

แล้ว โอ้โฮ เวลาจิตมันเกิดปัญญา โอ้โฮ มันละเอียดอ่อนมาก ละอียดอ่อนมาก มันจะมีละเอียดกว่านี้อีก เดี๋ยวมันจะเร็วกว่านี้อีก อย่างที่ว่าเมื่อกี้ จิตมันทำงานอย่างไร ปฏิกิริยาของมันอย่างไร เพราะมันเป็นอย่างนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้าถึงมีสติ ปัญญา มหาสติ มหาปัญญา มีปัญญาอัตโนมัตินะ โอ้โฮ แล้วคนพูดว่าสติปัญญาเป็นอย่างไร มหาสติ มหาปัญญาเป็นอย่างไร คนไม่รู้ไม่เห็นพูดไม่เป็นหรอก พูดไม่ได้ พูดได้แต่ตัวหนังสือ แล้วถ้ามันโตขึ้นมา แล้วจิตมันพัฒนาขึ้นมา

ของอย่างนี้นะ ถ้าอาจารย์อวดรู้นะ แล้วถ้าลูกศิษย์มันภาวนาเป็นนะ มันจะถลกหนังอาจารย์ เอ้า อาจารย์กูสอนสอนแค่นี้ แต่ลูกศิษย์ปัญญามันทะลุผ่านไปแล้ว มันหันกลับมาดูได้เลยว่า ทำไมอาจารย์กูโง่ขนาดนั้น แต่ถ้าอาจารย์สอนได้ถูก เพราะผู้ปฏิบัติมันทันกันได้ใช่ไหม คนปฏิบัติๆ ทำทันกันได้ นั่งสมาธิคนนั่งได้ไม่ได้แล้วแต่ แต่วันหลังคนอื่นนั่งได้ ไอ้คนพูดไว้ทีแรก ไอ้คนที่นั่งได้ทีหลังน่ะ อืม ไอ้ตอนเขาพูดก็ไม่เข้าใจนะ พอมันเป็นน่ะ อ๋อ อันเดียวกัน เนี่ย การปฏิบัติมันทันกันได้

พระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการเห็นไหม เวลาพระอรหันต์เกิดขึ้นมา พระอรหันต์ทั้งนั้นเลย ทันพระพุทธเจ้าหมดเลย เพราะพระพุทธเจ้าก็พระอรหันต์ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติก็พระอรหันต์ พระอรหันต์ทั้งนั้นน่ะ พระอรหันต์คือทางวิชาการ ความรับรู้อันเดียวกันหมดเลย สะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่ต่างกันด้วยอำนาจวาสนา พระพุทธเจ้าสร้างมา ๔ อสงไขย พระพุทธเจ้าสร้างมามากที่สุด พระพุทธเจ้าตั้งเอตทัคคะไว้ ๘๐ องค์ ๘๐ ทางนั่นนะ คนที่ตั้งเขามันต้องมีปัญญาเหนือใช่ไหม ถ้าเราไม่มีปัญญาที่เหนือกว่า รับรู้ได้มากกว่าเราตั้งเขาได้อย่างไร

ฉะนั้นเอตทัคคะ ๘๐ ทางนะ พระพุทธเจ้าเหนือทุกๆ ทางเลยเพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าทำมามากกว่า ทำมากมากกว่าคือการเสียสละมากกว่า ฐานมากกว่า ทุกอย่างมากกว่าหมด ทีนี้อำนาจวาสนาบารมีความรับรู้อนาคตังสญาณต่างๆ ถึงชัดเจนกว่า แจ่มแจ้งกว่า สะอาดบริสุทธิ์กว่า เยอะกว่า แต่มาจากไหน มาจากพื้นฐานของความเป็นพระอรหันต์นี่ไง พระอรหันต์ถึงสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกัน นี่ตามกันทัน การปฏิบัตินี้ตามกันทัน ทันได้   เอ้า ต่อมา

พระลูกศิษย์ : อยากจะถามพระอาจารย์ว่าคือเราทำความดีครับ เพราะว่าเราต้องการความดี มันไม่ใช่กิเลสหรือครับ

หลวงพ่อ :     เออ ถูกใจคนถามไหม ถูกใจมาก คำว่ากิเลสมันคืออะไร กิเลสนี่คืออะไร กิเลสคืออวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้สึกในตัวของมันเอง อวิชชานะ พลังงานตัวนี้มันยังไม่เข้าใจตัวมันเองเลย ใช่ไหม ถึงเป็นคำว่ากิเลส นี่การอยากทำคุณงามความดีเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเป็นสาวก สาวกะ  สาวก สาวกะสร้างอำนาจวาสนามา เพราะในตำราในพระไตรปิฎกผู้ที่สำเร็จพระอรหันต์ได้ต้องสร้างบุญญาธิการมาแสนกัป

แล้วคำว่าสร้างมาแสนกัป บุญญาธิการอันนี้มันหนุนส่ง พอหนุนส่งพื้นฐานของพันธุกรรมทางจิตมันดี มันหวังแต่ทำสิ่งที่ดีๆ การทำความดีนี้เป็นกิเลสไหม คำว่ากิเลสนี่เวลาบอกว่าคำว่ากิเลส เขาบอกว่าทำความดีเป็นกิเลสไหม เอ้า เราเอายาบ้ามา แล้วนั่งดูดกันอยู่ เพราะว่าถ้าทำดีมันเป็นกิเลส ดูดยาบ้ากันดีกว่าว่ะ ดูดยาบ้าเป็นความดี นั่น อย่างนั้นสิมันถึงเป็นกิเลส

กิเลสคือเราทำให้ตัวเราตกต่ำ ทำตัวเราให้เสียหาย แต่การสร้างคุณงามความดีนี่เขาไม่ถือว่าเป็นกิเลส เขาถือว่าเป็นมรรค ถือว่าเป็นมรรคนะ ความว่าเป็นมรรคคือสิ่งที่เป็นคุณงามความดี คำว่ากิเลสๆ กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก คือสิ่งที่ไม่เป็นจริง แต่สิ่งที่เป็นจริง อย่างเราสร้างบุญญาธิการมามาก เราทำธุรกิจจะทำสิ่งใด มันประสบความสำเร็จไปทั้งหมดเลย เป็นกิเลสไหม มันประสบความสำเร็จตามข้อเท็จจริงนั้น

เอ้า เราเป็นคนๆ หนึ่งที่สร้างบุญบาปมหาศาลเลย จะทำธุรกิจมีทุนมีทุกอย่างพร้อมหมดเลย ทำทีไรล้มเหลว ล้มเหลวหมดเลย เป็นกิเลสไหม มันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงในเรื่องเวรเรื่องกรรมเรื่องสัจธรรม นี้พอเราทำขึ้นมา เราเป็นคนที่ไม่มีอำนาจวาสนา ไม่มีสิ่งใดเลย เราก็จินตนาการว่าจะทำอย่างนั้น เป็นความทุกข์ความยาก เพราะเราไม่มีความสามารถจะทำได้ เขาจะลงทุนอย่างนี้กี่พันล้าน กี่พันล้านน่ะ แต่เรามีบาทเดียวนี่ แต่เราคิดจะลงทุนพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน นี่คือกิเลส คือมันเป็นไปไม่ได้ ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ตัณหาคือความคิดที่ไม่มีเหตุมีผล อันนี้ถึงเป็นกิเลส

แต่นี้เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่เราเชื่อธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกให้พุทโธ พุทโธ เราก็พุทโธอยู่เป็นกิเลสไหม นี่ไงคำว่ากิเลส  ทำความดีแล้วเป็นกิเลส ทำดีอยากดีเป็นกิเลส ไม่ใช่! สิ่งที่เป็นความคุณงามความดี มันเป็นเครื่องสนอง เครื่องหมายของคนดีคือความกตัญญูกตเวที ถ้าเราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เรา เราดูแลพ่อแม่เราเป็นกิเลสไหม อยากเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่อยากเป็นคนดีเป็นกิเลสไหม เอ้า แล้วถามทำไมว่าทำดีเป็นกิเลส

เวลาถามอย่างนี้ เนี่ย กิเลสมันถาม พอกิเลสมันถามแล้ว ไอ้คนถาม  ถามด้วยกิเลสใช่ไหม ด้วยวุฒิภาวะทางโลก พอถามด้วยวุฒิภาวะทางโลก ไอ้พวกทางโลกๆ มันก็เอาสิ่งนี้มาเป็นทางออก กิเลสมันมีอยู่แล้ว แล้วพยายามหาทางออกเห็นไหม คนเราถึงทำความดีกันไม่ได้ นู่นก็เป็นกิเลส นี่ก็เป็นกิเลส แต่ไปกินเหล้าเมายา ทำตัวเสเพล ไม่ว่าเป็นกิเลส แต่พอทำความดีขึ้นมาว่าเป็นกิเลสไง

คนทำดีเห็นไหม ดูสิเรามีมากนะ เราเห็นเรื่องคนหยาบ คนละเอียด สิ่งที่เวลาคนหยาบๆ เห็นไหม เขาไม่ไปวัดนะ เขาถือว่าไปวัดมันไม่มีความหมาย มันต้องเสียเวลา เสียวัตถุ เสียสิ่งของ เสียข้าวปลาอาหารที่ต้องไปวัด นี้พอเห็นคนอื่นไป มันก็แสลงใจนะ มันก็เที่ยวถากถางเขา ไอ้พวกไปวัด คือไอ้พวกที่มีปัญหา ไอ้พวกไปวัดนี่เป็นคนโง่ ไปวัดมันมีแต่เสียหาย ไม่มีอะไรได้ขึ้นมาเลย นั่นเขาพูดเพราะอะไรล่ะ เพราะจิตใต้สำนึกเขารู้อยู่ เขาทำไม่ได้

พอจิตใต้สำนึกเขาไปเห็นคนอื่นทำได้ เขาอิจฉาตาร้อน เอ็งไม่ไปเอ็งก็อยู่เฉยๆ สิ เอ็งไม่ไปวัดนะ แล้วคนอื่นไปวัดนะแม่งแซวเขาอีก คนเขาทำความดีก็ไปแซวเขาว่า มึงจะไปทำความดี มึงจะไปสวรรค์นิพพานกัน  แต่ไอ้มึงทำความชั่วนั่งกินเหล้าเมายากันอยู่ มึงไม่บอกว่าเป็นกิเลสเลย แต่เขาทำความดีว่าเขาเป็นกิเลส

นี่กิเลสนะ คนนี้หวังดีๆ มันเป็นการแสดงออกไม่เป็นของดี ขี้กับทองน่ะมึงจะเอาอะไร ขี้กับทองนะ สีเหลืองเหมือนกัน บอกเหมือนกัน ทำดีกิเลส ทำชั่วกิเลส ขี้กับทองก็ต้องเหมือนกัน ทำดีคือทอง ทำชั่วคือขี้ กิเลสคือขี้ ธรรมะคือทอง เป็นกิเลสไหมล่ะ เนี่ย ถ้ามันชัดเจนอย่างนี้ โลกมันจะได้ไม่มาแซว มาถากมาถาง มันถากมันถางกันนะ

ทำคุณงามความดีเป็นมรรค มรรคญาณ ความดี ความส่งเสริมให้คนเป็นคนดี สิ่งนี้โลกต้องการ สิ่งที่โลกต้องการเห็นไหม เราได้แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง ถ้าแผ่นดินธรรมนะทองสลึงหนึ่ง มันก็พอแบ่งกัน แผ่นดินทองก็แผ่นดินธรรมนะ แผ่นดินทองหาทองมาก่อนไง เดี๋ยวกลัวเป็นเหล็ก เอาทองมาแบ่งกัน ให้ทองแม่งเท่าภูเขาก็แบ่งกันไม่ลงตัว แม่งแย่งกันอยู่นั่นน่ะ

แต่ถ้าแผ่นดินธรรม คนมีจิตใจเป็นสาธารณะเป็นธรรม เป็นผู้ที่มีคุณงามความดีในใจ เราได้สิ่งใดมามีทองสลึงหนึ่ง เอ้า เราก็แบ่งกันสลึง สลึงนี้ถ้าแบ่งไม่ได้ เราก็ไปแลกเปลี่ยนมาเป็นสิ่งใดแล้วเรามาเจือจานกัน เราไม่แย่งชิงกัน แผ่นดินธรรมแล้วถึงแผ่นดินทอง แผ่นดินทองแล้วแผ่นดินธรรมนะ มึงหาไปเถอะ กูให้มึงทองอีก ๕ ภูเขา กูดูซิมันจะแบ่งกันลงตัวไหม แบ่งด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่แบ่งด้วยธรรม มีมากมีน้อยเราแบ่งกันด้วยธรรม ผู้ที่มีวุฒิภาวะนะ ไม่เอา เราให้คนอื่นเลย เอ้า คนนี้เสียสละ คนนี้เสียสละ ไอ้ทองสลึงไม่มีใครเอาด้วยนะ เป็นเงินก้นถุงอยู่นั่นน่ะ เนี่ย แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง

จิตใจถ้าเป็นธรรมนะ เรื่องนี้มันต้องแยกแยะให้ออก ถ้าเราเอาครูบาอาจารย์เอาสัจธรรมเป็นผู้ชี้นำนะ เราจะไม่โดนกิเลสมันลากพาไป โลกคิดนะ ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป จริงหรือเปล่าวะ ทำชั่วได้ดี ทำชั่วได้ดีน่ะ คนที่ทำชั่วนะ คนที่ทำสิ่งที่ผิดพลาดหรือคอร์รัปชั่นต่างๆ ที่เขาทำอยู่น่ะความชั่วยังไม่เห็น มึงนั่งทับขี้ไว้น่ะมีความสุขไหม กูนี่กินมาพันล้านเลย แล้วกูก็เสียว ดูสิกูวิ่งเต้นน่ะ สองมาตรฐานๆ อยู่นั่นน่ะ แล้วมึงทำมาทำห่าอะไรน่ะ ใครเป็นคนทำนั่นน่ะ ก็มึงทำตัวมึงเองนั่นน่ะ แล้วก็บอกสองมาตรฐานๆ ก็มึงทำมึงน่ะ มึงลองทำความชั่วสิ แล้วบอกว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ทำชั่วแล้วมึงมาเรียกร้องอยู่ทำไม ก็มึงทำชั่ว

 ถ้ามึงทำดี ทำดีก็พิสูจน์สิ เอ้า ถ้าพิสูจน์แล้วเป็นของใครก็เอาไป ในเมื่อพิสูจน์โดยข้อเท็จจริงแล้ว มันก็รับรู้กันทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันทำชั่วขึ้นมาแล้ว มันจะแก้ไขอย่างไร  เราจะบอกว่าถ้าให้กิเลสมันนำ แต่ถ้าให้ธรรมะนำ ให้คุณงามความดีนะ ให้สิ่งใดๆ นำนะ อย่างพวกเรานำไม่ได้ สาวกสาวกะไม่ได้ยินได้ฟังไม่มีทางปฏิบัติได้หรอก ไม่มีทางหรอก เราศึกษาวิชาการมากขนาดไหน เรารู้ไม่หมดนะ พระไตรปิฎกนะ โอ้โฮ ดูสิเราเรียบเรียง เราแต่งบาลีได้ทั้งนั้นน่ะ เราจะแต่งให้มันอย่างไรก็ได้ แต่ข้อเท็จจริง ความเป็นจริง เราได้รสนั้นไหม เราจะไม่ได้รับรสของธรรมเลย แต่ถ้าเรามาพุทโธ พุทโธ ทำสมาธิของใจขึ้นมา ถ้ามันรับรู้ขึ้นมาเห็นไหม

ถึงบอกว่าเพราะเราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก แล้วเอ็งงงอยู่ทำไม ถามกูทำไมเนี่ยพระสงฆ์ พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก แล้วพระสงฆ์นี่มันหูตาสว่างหรือยังน่ะ สมองมีหรือยัง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึกเพราะ หลวงตาท่านพูดว่าเวลาปฏิบัติไปเห็นไหม พุทธ ธรรม สงฆ์ รวมสู่อันเดียวกันพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นรัตนะสอง มีพระพุทธเจ้ากับมีพระธรรม พระธรรมทำให้พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ทีนี้เวลาพระพุทธเจ้าแสดงธรรมะคือพระธรรม พอแสดงพระธรรม พระอัญญาโกญฑัญญะได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วบรรลุธรรมขึ้นมา เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก พระสงฆ์ก็บรรลุธรรมตรัสรู้ธรรม พระพุทธเจ้าก็บรรลุธรรมตรัสรู้ธรรม

ฉะนั้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงมีสถานะที่ว่าเสมอภาคกันโดยความสะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของเรา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของเรา ถ้าเป็นที่พึ่งของเรานะ แก้วสารพัดนึกนะ เอ็งนึกอะไร เอ็งก็ได้ตามนั้น เอ็งนึกสมาธิเอ็งจะได้สมาธิ เอ็งนึกด้วยปัญญาญาณ เอ็งจะชำระกิเลสในหัวใจของเอ็งได้ ถ้าเอ็งใช้ปัญญาใคร่ครวญ เวลาถึงที่สุดแล้วนะ เวลาถึงสิ้นกิเลสนะ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมสู่หนึ่งเดียว หนึ่งเดียวคือจิตที่เป็นเอโกธัมโม คือจิตที่เป็นธรรมนั้น มันจะเข้าใจได้หมดเลยว่าจิตนี้มาจากไหนเพราะอะไร เพราะถ้าเรายังมีความสงสัยอยู่ เราจะพ้นจากความสงสัยนี่ไปได้ไหม ทุกคนจะสงสัยว่าเรานี่เกิดมาจากไหน กูนี่เกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน มันเป็นการสงสัยเป็นธรรมชาติของมนุษย์เลย

แล้วธรรมชาติของมนุษย์อย่างนี้นะ ดูสิ กาฬเทวิล ฤษีชีไพรสมัยพุทธกาล เขาระลึกอดีตชาติได้หมด เขารู้ด้วยเขามีวันตายวันไหน เขารู้วันตายเขาหมด แล้วเขาชำระกิเลสเขาได้ไหม เขาก็ชำระกิเลสของเขาไม่ได้ เพราะการเกิดและการตาย การขับเคลื่อนไปของการเกิดและการตาย มันเป็นแรงขับเคลื่อนไปของกรรม การกระทำนะ พลังงานที่ทำดีทำชั่ว มันเป็นกรรมที่ตกผลึกอยู่ที่จิต แล้วมันจะขับเคลื่อนไปตามนั้น ตามวัฏฏะที่ไม่มีวันจบสิ้น ทำดีขนาดไหนมันก็ขับเคลื่อนไปสู่สิ่งที่ดี แล้วหมดพลังงานการขับอันนั้น มันก็กลับมาเกิดอีก เพราะพลังขับมันซับซ้อนๆ สันตติจิตมันจะมีข้อมูลอยู่ในนั้นมหาศาลเลย

ฉะนั้นเวลาถ้าพูดถึงมรรคญาณ มันไปชำระกิเลสทำลายตัวนี้จนหมดสิ้นเห็นไหม เวลาเป็นเอโกธัมโม จิตมันพ้นออกไป พอพ้นออกไปอย่างนี้ มันจะเห็นหมดเลย เกิดมาจากไหน ดูพระพุทธเจ้าย้อนไปตั้งแต่พระเวสสันดรไป แล้วจิตวิญญาณไม่มีหรือ มันมีอยู่หนึ่งเดียวนะ เวลาพระพุทธเจ้าพูด เนี่ยตรงนี้ต้องตั้งสติให้ดีๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเคยเป็นพระเวสสันดร จิตของพระพุทธเจ้าเคยเกิดเคยตายมา ไม่มีต้นไม่มีปลายมหาศาลเลย เวลาเกิดตายมามหาศาลที่ไม่มีต้นมีปลาย การเกิดนั้นคือพันธุกรรม คือการตัดแต่งด้วยบุญกุศลทำคุณงามความดี เสียสละมาตลอดเห็นไหม เสียสละ เสียสละ เสียสละ ทุกข์มาตลอดเลย มันตัดแต่งๆ ตัดแต่งนี้ยังไม่ใช่มรรค ตัดแต่งนี้เพียงแต่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมาเท่านั้นเลย

มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะชาติสุดท้ายเพราะว่าบารมีเต็ม เกิดที่ลุมพินีเห็นไหมเราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอยู่ ยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า จะเกิดชาติสุดท้ายได้อย่างไร ยังไม่ได้เลย แต่พอมาบุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ จุตูปปาตญาณ อนาคต อาสวักขยญาณชำระกิเลสหมด หมดเลย พอหมดเลย นี่ไงเพราะอะไร อดีตชาติ กำเนิดในอนาคต แล้วปัจจุบันชำระหมดแล้ว แล้วมันจะสงสัยอีกไหม

แต่ถ้าเห็นอดีตชาติ เห็นอนาคต ยังไม่ถึงพระพุทธเจ้า ยังสงสัย ยังสงสัยเพราะว่าข้อมูลนี้เราเห็นข้อมูลเฉยๆ แต่ขบวนการที่เราจะทำให้สิ้นสุดขบวนการ มันไม่มี แต่เพราะว่าอาสวักขยญาณทำลายถึงอวิชชาทั้งหมดแล้ว อดีต อนาคต เป็นการบอกว่าอดีตมา แล้วถ้าปัจจุบันนี้ยังไม่ไปไปอนาคต แล้วกลับมาปัจจุบันแล้วทำลาย พั้บ! จบ นี่ไงรัตนตรัย พุทธ ธรรม สงฆ์

นี้สิ่งที่พุทธ ธรรม สงฆ์ จะย้อนกลับมาตรงนี้ บอกว่าแล้วทำดีอะไร ถ้าไม่มีแรงขับในพระโพธิสัตว์มา ในที่ว่าบุพเพนิวานุสติญาณ ที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ไหม แล้วพระพุทธเจ้าก็เป็นเองไม่ได้อีก พระพุทธเจ้าต้องเป็นด้วยมรรคญาณ เป็นด้วยพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ที่มาประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ จนสิ้นขบวนการของมัน

คำว่าปฏิบัติสิ้นขบวนการของมัน ถึงบอกว่าทำดีเพื่ออะไรไง ก็ทำดีเพื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เพราะทำดี ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะความชั่ว แล้วเป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากหรือเปล่า มันเป็นมรรคเป็นฝ่ายดี พอบอกเป็นกิเลสนึกว่าเป็นฝ่ายชั่วหมดไง แต่ว่าถ้าเป็นทางฝ่ายชั่วคือให้ผลลบ นั่นคือกิเลส ถ้าทางฝ่ายดีให้ผลในทางที่ดี เป็นสิ่งที่ปรารถนาของทุกๆ คน จะบอกว่าเป็นกิเลสไหม

หลวงตาท่านฟันธงแล้วว่าเป็นมรรค มรรคญาณ มรรคคือมรรค ๘ มรรคคือสิ่งที่สร้างสมสะสมเป็นสิ่งที่ดี ไม่เป็นกิเลส ไม่เป็นกิเลส ถ้าบอกเป็นกิเลสนะ ทุกคนห้ามทำสมาธิ ทุกคนห้ามปฏิบัติเลยเดี๋ยวกิเลสมันจะพอกเต็มหัว แต่เพราะทำสมาธิ เพราะการประพฤติปฏิบัติมันถึงพ้นจากกิเลสได้ แต่กิเลสมันก็เอาพระพุทธเจ้า เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาฟาดฟันเรา

 เป็นกิเลสนะ เป็นกิเลสนะ รถออกจากวัดมาก็เป็นกิเลส อยากมานี่กิเลสทั้งนั้นน่ะ แล้วมาฟังมันพ้นกิเลสไหมล่ะ มันจะย่างหัวกิเลสอยู่นี่ไง ก็อยากน่ะ อยากมาเป็นกิเลสไหม  แต่อยากที่ดี มันเป็นความดี

พระลูกศิษย์ : กราบเรียนพระอาจารย์ครับ ขอโอกาสที่พระอาจารย์เมื่อกี้พูดถึงว่าพระพุทธเจ้านี่แต่งตั้งพระอสีติสาวกนี่ ๘๐ องค์ครับ พระพุทธองค์ต้องเหนือกว่าทุกองค์

หลวงพ่อ :     ใช่

พระลูกศิษย์ : ทีนี้ผมสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง ตอนที่พระพุทธเจ้าพาคณะสงฆ์ หมู่สงฆ์ไปเยี่ยมพระเรวัตตะน้องชายพระสารีบุตรน่ะครับ พอถึงทางสามแพร่งที่เป็นทางลัดกับทางเรียบง่ายน่ะครับ ทำไมพระพุทธองค์ถึงถามหมู่สงฆ์ว่าพระสีวลีมาด้วยหรือเปล่า

หลวงพ่อ :     ใช่ ว่าไป

พระลูกศิษย์ : ทำไมพระพุทธองค์ ถ้าหากว่าเหนือกว่าแล้ว ก็ต้องใช้บารมีของพระพุทธองค์เอง ไม่ต้องถามว่าพระสีวลีมาด้วยหรือเปล่า ยังสงสัยครับพระอาจารย์

หลวงพ่อ :     อันนี้เราจำขี้ปากหลวงตามาเทศน์เลยล่ะ หลวงตาเนี่ยประเด็นนี้หลวงตาเอามาใช้บ่อยมาก หลวงตาท่านพูดเลยนะ เวลาไปไหนเห็นไหม พระสีวลีมาหรือเปล่า ดูสิมันมีอยู่ทีหนึ่งเห็นไหม ที่ว่าหลวงตาใช้อยู่ในพระไตรปิฎก ไอ้นี่ถ้าใครปฏิบัติแล้วนะ มันเห็นตรงนี้มันชัดเจนแล้วมันซึ้ง ซึ้งน้ำใจพระพุทธเจ้ามาก

เวลาพระพุทธเจ้านะ มันมีลูกศิษย์ มันเป็นคู่บารมีของพระกัสสปะไง แล้วเวลาพระพุทธเจ้าไปกับพระอานนท์ พระมาเต็มเลย เขาเดินผ่านไปแบบว่าเขาไม่เคารพศรัทธาเลย อันนั้นพออย่างนั้นปั๊บ อยู่ในพระไตรปิฎก ทีนี้พระพุทธเจ้าก็บอกพระอานนท์ผู้อุปัฏฐาก นั่งรออยู่นี่แหละ พวกนี้เขาเป็นผู้มีบุญมีกรรมกับพระกัสสปะ เดี๋ยวเขาเจอพระกัสสปะ เขาจะศรัทธาเขาจะถวายพระกัสสปะ แล้วพระกัสสปะนั้นเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า พระกัสสปะก็เคารพพระพุทธเจ้า เขาจะเอาพวกนี้กลับมาให้พระพุทธเจ้าฉัน

 ทีนี้ย้อนกลับมาตรงนี้ เราว่าเราจำขี้ปากหลวงตามาพูดบ่อยมากเลย หลวงตาท่านใจท่านเป็นธรรม ท่านบอกว่าเวลาพระพุทธเจ้าบอกถึงพระสีวลี ว่าพระสีวลีมาหรือเปล่า ถ้าไปไหนที่อัตคัดขาดแคลน เอาพระสีวลีไป พระสีวลีได้รับการเอตทัคคะในทางที่ลาภสักการะมากที่สุด แต่มากที่สุดขนาดไหนก็มากเท่าพระพุทธเจ้าไม่ได้หรอก มากกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ เพียงแต่หลวงตาท่านพูดคำนี้ เราจำขี้ปากบอกว่าพระพุทธเจ้าเวลาท่านพูดถึงใคร ท่านจะกันตัวท่านออกไปเพื่อจะเชิดชูลูกศิษย์ คือคนที่เป็นธรรมน่ะ ไม่หวงแหน ไม่หวงแหนคือว่า ถ้าพูดถึงคนมีกิเลส ข้าต้องดังคนเดียวไง ข้าต้องเก่งคนเดียวไง แต่พระพุทธเจ้าเก่งเหนือใครๆ ทั้งหมด

แต่เวลาพระพุทธเจ้าจะเชิดชูเห็นไหม จะเชิดชูลูกศิษย์คนไหนจะบอกว่าพระสีวลีมาหรือเปล่า พระสีวลีเป็นผู้มีลาภมากที่สุด ชวนพระสีวลีไปเราจะไม่อดไม่อยากเพราะอะไร พระสีวลีเพราะทำบุญมามาก เวลาพระพุทธเจ้าไปไหนจะพูดอย่างนี้ประจำ เวลาพูดถึงจะเชิดชูองค์ใดไง หลวงตาใช้คำนี้นะ คำว่าท่านกันตัวท่านออกไป พระพุทธเจ้าจะกันตัวออกไป แล้วเชิดชูผู้ที่ทำคุณงามความดีให้มีชื่อเสียง ให้มีสิ่งที่จารึกในพุทธศาสนา ให้เป็นบุคคลตัวอย่าง ให้คนที่อยากทำคุณงามความดีเพื่อเหตุนั้น

ฉะนั้นบอกว่าที่พูดนี้ ถ้าเราคิดถึงตรงนี้ปั๊บนะ ถ้าอย่างนั้นพูดถึงตรงนี้ว่า พระพุทธเจ้ามีน้ำใจมากที่จะเชิดชูลูกศิษย์ งั้นจะพูดมุมกลับแบบว่าเอากิเลสเข้ามาแถไง ไม่จริง พระพุทธเจ้าไม่มีลาภ พระพุทธเจ้ากลัวพาพระไปแล้วไม่มีจะกินใช่ไหม พระพุทธเจ้าถึง เหมือนกับทางโลก กิเลสไง คือกลัวต้องเอาคนอื่นมาบังหน้าไง ไม่จริงหรอก ไม่จริงตรงไหนนะ ตอนที่ไปหาพระเรวัตตะน่ะ เห็นไหมพระเรวัตตะอยู่ป่าใช่ไหมตอนที่ไป ไปอยู่ป่า แล้วเขาก็ร่ำลือไปหาพระเรวัตตะ พระไปห้าหกร้อยแล้วอยู่ป่าอยู่องค์เดียวจะไปฉันอะไร

นี่พระเรวัตตะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ในพระไตรปิฎกเป็นผู้มีฤทธิ์มากเป็นพระป่าอยู่ในป่า เนรมิตไว้หมดเลยเห็นไหม ในพระไตรปิฎก เนรมิตไว้หมดเลยเวลาไปจะต้อนรับพระพุทธเจ้าไงกับพระทั้งห้าร้อย โอ้โฮ กุฏิวิหารเต็มไปหมดเลย พักที่ไหนก็ได้ พอพักเสร็จแล้วนะที่ว่า ในพระไตรปิฎกเหมือนกันนั่นแหละ พระก็นินทากันไง ไหนว่าอยู่ป่า เพราะพระเรวัตตะได้เอตทัคคะในการอยู่ป่า ทีนี้พออยู่ป่านั้นพระพุทธเจ้าชมขนาดนี้ พอมาจริงๆ ไม่เห็นอยู่ โอ้โฮ หรูหรามหาศาลขนาดนั้น นี่มันก็เป็นการแสดงออก เรื่องของกรรมมันแปลกนะ นี้พระองค์ที่ติฉินนินทานี่ เวลาไปแล้วก็เอาธัมกรกเหมือนกับเราแขวนไว้ข้างกุฏิเห็นไหม แล้วไปแล้วขากลับ พอไปแล้วตัวเองลืมธมกรกวิ่งกลับมาจะมาเอาไง พอกลับมาแล้ว อ้าว หายหมดเลย

ก็ไปถามพระเรวัตตะว่าธัมกรกที่ลืมไว้อยู่ไหน โน่น บอกแขวนบนกิ่งไม้โน่นไง คำว่าแขวนบนกิ่งไม้ตอนก่อนหน้านั้นน่ะ มันเป็นกุฏิวิหารใช่ไหม มันก็เหมือนมี เขาเรียกมีของมีสลักให้แขวน แขวนธัมกรกไว้ แล้วพอกลับไปเพราะตัวเองแขวนไว้เองแล้วลืม  พอลืมกลับมาอีกทีหนึ่ง  พอพระพุทธเจ้าเสด็จกลับ  ทุกคนเสด็จกลับหมดแล้ว  พระเรวัตตะก็คลายฤทธิ์ พอคลายฤทธิ์ ไอ้พวกวิหารพวกต่างๆ หายแว็บไปกับตา พอหาแว็บไปกับตาแล้วมันก็เหลือไอ้ธัมกรกนี่ก็แขวนอยู่บนยอดไม้ พอพระนั้นกลับมาก็ต้องไปปีนป่ายเอาธัมกรกนี้กลับมา

เราจะบอกว่าถ้าพูดถึงพระสีวลีไม่มา จริงไหม เพราะว่าพระเรวัตตะสามารถมีฤทธิ์เดชขนาดนั้น เนรมิตได้มากขนาดนั้น จะไปห่วงไหมว่าจะไม่มีอาหารให้พระฉัน เพียงแต่เวลาพระพุทธเจ้าจะเชิดชูใครนะ หลวงตาใช้คำนี้นะว่าพระพุทธเจ้ากันตัวท่านออก ท่านจะเชิดชูลูกศิษย์ไง ท่านจะเชิดชูภิกษุในพุทธศาสนานี้ ให้เห็นว่าพระภิกษุศาสนานี้มีคุณงามความดีอย่างใด มีสิ่งใดที่ท่านทำออกมาแล้ว   ผลมันจะตอบแทนอย่างนี้ ๆ เราถึงยืนยันว่าพระพุทธเจ้าสุดยอดกว่า พระพุทธเจ้าจะต้องมีฤทธิ์มีเดชกว่า แต่เหนือใครทั้งหมด

พระลูกศิษย์ : สาธุครับ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ผมก็เชื่อแบบนั้นแต่อยากจะได้คำอธิบายจากท่านพระอาจารย์เท่านั้นเอง ขอบพระคุณครับท่านพระอาจารย์

หลวงพ่อ :     อันนี้อันหนึ่ง แล้วสองมีอีกอันหนึ่งนะ ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บเวลาคนจะหยิบประเด็นขึ้นมา คนเราจะหยิบประเด็นขึ้นมานะที่ว่าพระพุทธเจ้าไปอยู่กับพราหมณ์เห็นไหม ไปอยู่กับพราหมณ์แล้วเขาลืมใส่บาตรพระพุทธเจ้าน่ะ ที่พระอานนท์ไปเอาข้าวม้าที่มาบดให้พระพุทธเจ้าฉันน่ะ พระภิกษุเรานะ พระภิกษุตามธรรมวินัยทำอาหารให้สุกเองไม่ได้

ฉะนั้นเวลาพราหมณ์นิมนต์ไว้ พอนิมนต์ไว้แล้วไม่ได้ใส่บาตร นี้พระอานนท์ก็ไปบิณฑบาต  พราหมณ์ที่เขาต้อนม้ามาขาย ม้าต่างน่ะ เขาจะมีอาหารของเขามาด้วยเป็นข้าวกล้องไง ถ้าให้ข้าวกล้องม้าเท่าไหร่เขาก็ให้พระเท่านั้น นั้นพระอานนท์ก็มาบด มาบดน่ะ นั่นตอนนั้นเราก็เอามาพูดบ่อย พระโมคคัลลานะทนไม่ไหวเลย จะพาเหาะไปบิณทบาตอีกทวีปหนึ่งเลย

ถ้าพูดเรื่องเหาะเรื่องอะไรเดี๋ยวพวกนี้บอกว่า โห ทำไมหลงใหลกันขนาดนั้น ฤทธิ์ ฤทธิ์ ฤทธิ์ ฤทธิ์ของพระโมคคัลลานะ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาต เพื่อจะให้เราอยู่ในสัจธรรมอยู่ในความจริง        เอ้าว่ามา

พระลูกศิษย์ : ผมอยากถามเรื่องการนั่งสมาธิครับ ผมดูในโทรทัศน์นะครับ แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์นี่ เวลาถ้าคนนั่งไม่ทำอะไรเลย ไม่กินข้าวไม่กินน้ำอาทิตย์หนึ่งถึงสองอาทิตย์ก็มีสิทธิ์เสียชีวิตแล้ว

หลวงพ่อ :     ว่าไป

พระลูกศิษย์ : แต่ผมเห็นในโทรทัศน์เขานั่งเป็นเดือน เขาไม่เห็นเป็นไรเลยครับ มันทำไมเป็นเพราะเหตุใด

หลวงพ่อ :     ไอ้ในโทรทัศน์นี่นะ เราไม่เอามาเป็นประเด็น เพราะในโทรทัศน์เราเห็นแต่เวลาเขาถ่ายรูปมา แต่ไอ้เวลาเรานี่ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครนั่งได้กี่เดือนๆ เราไม่รู้ ไอ้กรณีอย่างนี้ยกเว้น แต่การนั่งสมาธิ ไอ้เรื่องเวลาเข้านั่งสมาธิ ถ้าพูดถึงเช่นหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ตื้อนั่งทีเจ็ดวันเจ็ดคืน มันอยู่ที่คุณสมบัติ คุณสมบัติของผู้ที่ถนัดนะ คุณสมบัติอันหนึ่ง แล้วเวลาพูดถึงถ้าเรานั่งสมาธิไป อย่างเช่นหลวงตาครูบาอาจารย์เรา ท่านจะอดนอนผ่อนอาหาร นั่งตลอดรุ่งนั่งได้อยู่แล้ว ยิ่งในการประพฤติปฏิบัติเรานี่ เวลาเข้าฌานสมาบัติอยู่  ๗ วันนี่สบายมาก

เพราะเวลาปกติของเรานะ ร่างกายเราต้องใช้พลังงานตลอด อย่างเช่นเราต้องขับต้องถ่ายต้องดื่มต้องกินตลอด คนเราขาดน้ำไม่ได้ แต่เวลาเข้าฌานสมาบัติทุกอย่างในร่างกายมันจะหยุดทำงานของมัน ไม่ใช่หยุดทำงานแบบคนตายนะ มันหยุดของมันด้วยฤทธิ์เดชของใจ จะไม่มีสิ่งใดเพิ่ม ไม่มีสิ่งใดลด สบายมาก นี่ไอ้นี่มันเป็นเวลาเข้าฌาน  เข้าสมาบัติ นี้สมาบัติตั้ง ๗ วัน ๘ วันนี้ทำได้ นี่ข้อเท็จจริงนะ แต่เราจะปฏิเสธอันหนึ่งที่ว่า เดี๋ยวนี้สังคมโลกกำลังตื่นเต้นกับเรื่องอย่างนี้ โฆษณาชวนเชื่อ เราไม่เชื่อ

เพราะการทำฌานสมาบัติ การนั่งสมาธิภาวนา คนที่เขาทำแล้ว เพราะสิ่งนี้มันเป็นคุณธรรม คุณธรรมของจิตที่มีคุณธรรม เขาจะทำอยู่ในป่าในเขาของเขา เขาไม่มาทำเพื่อแลกกับชื่อเสียง แลกกับลาภสักการะ ในโลกธรรม ๘ อย่างนี้  มันเป็นของต่ำๆ โมฆษุรุษตายเพราะลาภ คนที่แสดงออกเรื่องฤทธิ์เรื่องเดช เรื่องต่างๆ เพื่อแสวงหาลาภสักการะนี้ คนนี้แสดงว่าจิตใจไม่ควรจะเป็นคุณธรรมจริงๆ เพราะเขาไปเห็นแก่โลกธรรม ๘ ลาภ ยศ สรรเสริญ เราไม่เชื่อ

เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เราเชื่อหลวงปู่มั่น เราเชื่อหลวงปู่เสาร์ เราเชื่อครูบาอาจารย์ของเรา เพราะว่าท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านไม่เคยออกมายุ่งกับใครเลย สิ่งที่ชื่อเสียงที่ท่านขจรขจายอยู่นี้เพราะลูกศิษย์เอามา ท่านล่วงชีวิตไปแล้ว พวกเราถึงเอามาเชิดชู พวกเราถึงเอาออกมาเพื่อให้สังคมรับรู้ แต่ในชีวิตของท่าน หลวงตาท่านพูดบ่อย เรื่องของทุกข์ของยากไม่มีใครทุกข์ยากเท่าหลวงปู่มั่น เกิดในป่า ปฏิบัติในป่า ตายในป่า ไม่เคยได้เสพสุขสิ่งใดเลย

หลวงปู่เจี๊ยะเวลาท่านพูดถึง ที่ว่าท่านออกมาสร้างวัดที่ปทุม วันไหนมีกุ้งมีอะไรมา ท่านเห็นแว็บท่านน้ำตาไหลเลย เพราะอยู่กับหลวงปู่มั่นมาหลายปี ไม่เคยเห็นอาหารอย่างนี้เลย เห็นไหมเนี่ยคุณธรรม แล้วพอคุณธรรม พอครูบาอาจารย์ที่ท่านเสร็จสิ้นไปแล้ว ขบวนการมันจบสิ้น นี่มันเครื่องชำระกิเลส

นี่เราจะบอกว่าการนั่งอย่างนั้น พึ่งคุณธรรมมันมีอยู่จริง แต่ในสังคมปัจจุบันนี้ มันเป็นโมฆษุรุษเห็นแก่ลาภสักการะ โฆษณาชวนเชื่อเพื่อศักยภาพของตัวเท่านั้น!!!! เพราะเวลาพูดไปแล้วจะบอกว่า ไอ้พวกนี้ทำๆ นี่ถูกต้องหมด ไอ้พวกนี้หาเหยื่อทั้งนั้น ความจริงเขาแอบทำ  เขาทำเพื่อพิสูจน์กัน เพื่อสัจจะความจริงในป่าในเขา ในสัจธรรมของเขา เขาไม่มาทำประเจิดประเจ้อ

พระลูกศิษย์ : อย่างในเรื่องความตายในพระพุทธศาสนาครับ จะเริ่มนับตั้งแต่หยุดหายใจ หรือว่าหัวใจหยุดเต้นใช่ไหมครับ

หลวงพ่อ :     ไม่หายใจเนี่ย ถ้าพูดถึง   พอถามอย่างนี้ปั๊บ ประเด็นมันมีหลายประเด็น คำว่าไม่หายใจเวลาเข้าสมาธินี่จิตดับหมดมันก็ไม่ได้หายใจ หายใจไม่มีเลย ไม่ได้ตาย ถ้าบอกว่าลมหายใจขาดแล้วคือคนตาย เวลาเข้าอัปปนาทุกอย่างหายหมดนะ ลมหายใจจะขาดหมดเลย ไม่ใช่ตาย ลมหายใจขาดก็ไม่ตายนะถ้าการภาวนาเนี่ย มันขาดนะ มันหยุด มันแบบว่าจิตไม่รับรู้เรื่องลมหายใจ

แต่ลมหายใจมันเข้าทางผิวหนังก็ได้อะไรก็ได้ พวกนี้ยังไม่..ถ้าภาวนาไปจะเข้าใจเรื่องอย่างนี้ ฉะนั้นเวลาตาย เวลาตายคือจิตมันจบสิ้นขบวนการของมัน หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ เวลาท่านบอกว่าท่านถ่ายถึง ๒๗ หนนั่นน่ะ เวลามันจะไป ๙๙ เปอร์เซ็นต์ มันจะหดตัวเข้ามา จิตนี่มันจะหดตัวตั้งแต่ศีรษะ ตั้งแต่ปลายเท้าเข้ามา มารวมตัวเข้าอยู่กลางหัวอกของท่าน แล้วถ้ามันออกก็คือตาย แต่ท่านรั้งของท่านไว้ไม่ให้ออก ท่านบอกท่านผ่านวิกฤติอย่างนี้มาหลายรอบแล้ว

ฉะนั้นคำว่าจิตตาย สรุปคือว่ามันหดตัวเข้ามาถึงตัวมัน แล้วออกจากร่างไป นั่นคือตาย แต่เวลาคนเราเห็นไหม คนเราเวลาเป็นเจ้าชายนิทราเห็นไหม ต่างๆ นี่ มันยังไม่ตาย แล้วคนตายเขาจะวัดกันอย่างไร อย่างทางการแพทย์นะ เขาดูม่านตาเห็นไหม ตายไม่ตาย

พระลูกศิษย์ : แล้วอย่างที่ผมดูในหนังนะครับ ที่แบบคนตายไปแล้วน่ะครับ คืออันนี้จิตออกจากร่างใช่ไหมครับ แล้วถ้าเกิดปั๊มหัวใจขึ้นมา จิตนี้สามารถเข้าร่างเดิมได้เหรอครับ มีจริงหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ :     อันนั้นยังไม่ตาย อย่างที่พูดเมื่อกี้เห็นไหม ถ้าพูดมันมีประเด็นหลายประเด็นไง อย่างที่ว่าหมอเข้าใจว่าตายแล้ว หัวใจหยุดเต้นใช่ไหม แต่เขาปั๊ม เพราะไอ้นี่มันการตายของวิทยาศาสตร์ไง แต่ถ้าตายออกไปแล้วกลับมาไม่ได้ ถ้าตายแล้วก็คือตาย แต่ไอ้นี่มันอยู่ที่บุญกุศลเหมือนกัน บุญกุศลแบบว่ามันยังไม่ถึงที่สุดไง

อย่างเช่นพระพุทธเจ้าพูดเห็นไหม อานนท์! ผู้ใดมีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ จะบอกให้พระอานนท์อาราธนาไว้ไง แล้วพระอานนท์ก็โดนมารบังตาไว้ บังตาไว้ไงเห็นไหม เราจะอยู่อีกกัป เราจะบอกว่าอายุขัยมันต่อได้เห็นไหม ต่อได้โดยพระพุทธเจ้านี่แหละ พระพุทธเจ้าบอกเลย อานนท์! ถ้าผู้มีอิทธิบาท ๔ จะอยู่อีกกัปหนึ่งก็อยู่ได้ บอกพระอานนท์ถึง ๑๖ หน พระอานนท์ไม่นิมนต์ไว้ ถ้าพระอานนท์นิมนต์ไว้ อานนท์! ถ้าเธอนิมนต์ไว้ เราจะปฏิเสธเธอถึง ๒ หน ถ้าหนที่ ๓ เราจะรับอาราธนาของเธอ รับอาราธนาของเธอไว้ พระพุทธเจ้าจะอยู่มาอีก ๑๒๐ ปี นี่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๘๐ ปี ถ้าอันนั้นเห็นไหม แล้วอย่างนี้ทำได้ไหม นี่เราบอกว่าอายุขัย คนที่ปฏิบัติมีอิทธิบาท ๔ ทำได้  ทีนี้อิทธบาท ๔ ทำได้แล้วนี่ ทีนี้เวลาตายนี่อายุขัยมันต้องตายตัว

ไอ้อย่างนี้  ประสาเรานะมันบอกว่า โดยความเป็นจริงธรรมะเป็นอย่างนี้ แต่! แต่บางทีมันมีแอ็คซิเดนท์ มันมีข้อที่ว่ามันไม่อยู่ในกรอบทั้งหมด  อย่างนี้มี พอถามขึ้นมาถ้าเราบอกเราตอบ ปัญหา พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก ปัญหาบางอย่างตอบให้จบขบวนการอย่างนี้ไม่ได้ เพราะมันมีตัวแปรเยอะ ถ้าตอบเด็ดขาดอย่างนี้แสดงว่ามึงโง่ เพราะในสมัยพุทธกาลนะ เวลาก่อนจะบิณฑบาต พระเขาจะออกไปบิณฑบาต เขาจะไปพูดกับลัทธิต่างๆ ไง แล้วพอตอบผิดกลับมาหาพระพุทธเจ้า พอตอบผิดหรือว่าสู้เขาไม่ได้จะมาหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะบอกโมฆษุรุษ โมฆษุรุษ ไอ้โง่ ถ้าโง่แล้วอย่าไปคุยอย่างนี้ๆ พูดอย่างนี้ไม่ได้ นี่คือคนโง่ แต่ถ้าคนฉลาดคือพระสารีบุตร เวลาพระสารีบุตรไปตอบนี่ไม่เคยแพ้เลย ตอบได้ ชนะได้

นี่จะย้อนกลับมาปัญหานี้ เดี๋ยวจะหาว่าเล่นลิ้นไง เราไม่ได้เล่นลิ้นนะ มันมีตัวแปร ตัวแปรวิกฤติต่างๆ สิ่งแวดล้อมนี่มันแปรสิ่งที่จะตอบให้ปัญหา ตอบเด็ดขาดให้เป็นอันเดียวไปไม่ได้ แต่ก็เหมือนจะตอบเด็ดขาด ตอบเด็ดขาดหมายถึงว่า ส่วนข้อเท็จจริงนี้เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ แต่มันยังมีตัวแปรอีก เรื่องของกรรม เรื่องของเวร มันมีตัวแปรอีกเยอะแยะเลย นี่ธรรมะเป็นอย่างนี้ จบไหม เอวัง